บทความ

ม่าน

  ม่าน ม่าน หรือบางครั้งเขียนเป็น มล่าน ใน ภาษาล้านนาหมายถึงพม่า หรือสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “ สหภาพเมียนม่าร์ ” ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเนื้อที่ ๖๗๘ , ๓๐๔ ตารางกิโลเมตร พม่าสามารถรวมกันเป็นประเทศได้ในสมัย ของพระเจ้าอนุรุทธ (Anawratha) ซึ่งปกครองพม่าระหว่าง พ . ศ . ๑๕๘๗ – ๑๖๒๐ หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนอำนาจการปกครองระหว่างพม่ากับมอญ จนถึง พ . ศ . ๒๓๖๗ พม่าแพ้สงครามต่ออังกฤษและเสียแคว้นอัสสัม ยะไข่ และตะนาวศรีแก่อังกฤษเมื่อพ . ศ . ๒๓๖๘ ต่อมาได้มีสงครามกับอังกฤษอีก ๒ ครั้ง ครั้งแรกเสียเมืองพะโค และในครั้งที่สองเสียพม่าทั้งหมดให้แก่อังกฤษ เมื่อ พ . ศ . ๒๔๒๙ ใน พ . ศ . ๒๔๐๕ อังกฤษจัดให้พม่าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษเช่น กัน ต่อมาได้แยกจากอินเดียเมื่อ พ . ศ . ๒๔๘๐ และได้รับสิทธิในการปกครองตนเอง ครั้น พ . ศ . ๒๔๘๕ ได้ตกอยู่ในความครอบครองของญี่ปุ่นเป็นเวลาสามปี จน พ . ศ . ๒๔๘๘ อังกฤษได้กลับมาปกครองพม่าอีก ชนระดับผู้นำของพม่าได้เจรจาเรียกร้องเอกราช เมื่อเดือนกันยายน พ . ศ . ๒๔๘๙ จนถึงวันที่ ๔ มกราคม พ . ศ . ๒๔๙๑ ...

แกว/กาว

แกว/กาว คำว่า แกว หรือกาว ในตำนานมักจะกล่าวถึง กลุ่มชนเผ่าหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่บริเวณลุ่มแม่น้ำแม่สาย บางครั้งอาจหมายถึงชนกลุ่ม หร้อ-จีนฮ่อ ซึ่งอาศัยอยู่ปะปนกัน เช่นปรากฏชื่อบุคคลในตำนานเมืองเงินยาง ช่วงที่กล่าวถึงการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นของขุนเมือง ได้แก่ พระญาแกว หรือ พระญาบาวกวา ซึ่งแกว หรือพระญาแกวในตำนานน่าจะหมายถึงผู้นำชนเผ่าแกวที่ปกครองตนเอง มีการสืบทอดอำนาจในท้องที่ของตน เมื่อขุนเจืองซึ่งต้องการสร้างบ้านแปลงเมืองบริเวณเขจแคว้นเงินยางเชียงลาว และภูเหิด (ภูเหมือด) ทำให้ต้องมีการมำสงครามกันตลอดเวลาระหว่างผู้นำชนเผ่าแกวและผู้ปกครองแคว้น เงินยางเชียงลาว จนในที่สุดชนเผ่าแกว และฮ้อในบริเวณเทือกเขาภูเหมือดต้องอ่อนน้อมสวมมิภักดิ์ต่อแคว้นเงินยาง อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในตำนานก็ได้กล่าวถึงอิทธิพลของท้าวแกวหรือชนกลุ่ม น้อยเผ่านี้ว่า เป็นกลุ่มที่สามารถปกครองตนเองมีผู้นำระดับเมืองและมีอำนาจทางทหารเพียงพอ ที่จะปกครองบ้านเมืองของตน และทำสงครามกับเมืองอื่นๆ ที่มารุกรานตนได้ นอกจากนี้ ชนเผ่าแกวก็ยังมีการผสมผสานในทางวัฒนธรรมกับชนเผ่าพื้นเมืองตอนเหนือของอิน แดนเมืองเงินยางเช่น การมีความสัมพันธ์...

ต่องสู้ ต่องสู่ หรือ ต่องซู่

 ต่องสู้ ต่องสู่ หรือ ต่องซู่ ต่องสู้ ต่องสู่ หรือ ต่องซู่ เป็น กลุ่มชนที่อยู่กระจัดกระจายในตอนเหนือของประเทศพม่า เนื่องจากชาวต่องสู้ตั้งถิ่นฐานร่วมกับชาวไทใหญ่ โดยชาวต่องสู้อยู่บนดอยและที่ราบเชิงเขา ส่วนชาวไทใหญ่อยู่บริเวณที่ราบ ดังนั้นชาวต่องสู้จึงมีความสัมพันธ์กับชาวไทใหญ่ และมีวัฒนธรรมคล้ายไทใหญ่ ชาวไทใหญ่เรียกชาวต่องสู้ว่า “ ต่องสู้ ” พม่าเรียกว่า “ ต่องตู่ ” แปลว่า “ ชาวดอย ” หรือ “ คนหลอย ” แต่ชาวต่องสู้ไม่ชอบให้เรียกคำนี้ เพราะถือว่าเป็นคำไม่สุภาพ ชาวต่องสู้เรียกเชื้อชาติของตนเองว่า “ ป่ะโอ่ ” หรือ ปะโอ แปลว่าชาวดอยเหมือนกัน เมื่อแยกคำแล้ว มีผู้สันนิษฐานที่มาของคำว่า “ ป่ะโอ ” ว่าน่าจะมาจากคำว่า “ ผะโอ่ ” แปลว่าผู้อยู่ป่า เพราะในภาษาไทยคำตี่ คำว่า “ อู่ ” แปลว่าอยู่ เมื่อชาวต่องสู้อพยพเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนล้านนา คนล้านนาเรียกตามชาวไทใหญ่ แต่สำเนียงเปลี่ยนไปว่า “ ต่องสู้ ” จากหนังสือ คนไทยในพม่า ที่ เขียนโดยบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ นักเขียนชาวล้านนา กล่าวถึงชาวต่องสู้ที่อยู่ในรัฐฉาน สหภาพพม่า ซึ่งมีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงสลับกับที่ราบว่า ชาว ต่องสู้อยู่ในเขตเมืองต่องกี...

กุ่ย

กุ่ย กุ่ย เป็นชื่อเฉพาะของชนเผ่าลาวสูงกลุ่มหนึ่งที่พูดภาษาตระกูลทิเบต-พม่า ซึ่งมีคำศัพท์และสำเนียงภาษาพูดคล้ายกับภาษามูเซอและอีก้อ เผ่ากุ่ยมีวิถีชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ล้าหลังกว่าชนเผ่าอื่น ๆ อาศัยอยู่ในเขตภูดอยที่ห่างไกลทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาวในเขตเชียงแขง ต่อมาได้หนีภัยสงครามอพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตเมืองสะโบกบ่อ สบโหลย ในราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เผ่ากุ่ยมีหลายตระกูล เช่น พอส้าง พอหน่อ พอจะใหม่ พอหวัง พอนังหล้า พอหล้าแลว เป็นต้น การตั้งบ้านเรือน ชนเผ่ากุ่ยจะเลือกตั้งบ้าน เรือนอยู่ตามไหล่เขาสูงที่มีน้ำห้วยไหลผ่าน ไม่นิยมอาศัยอยู่ในเขตที่ราบ ลักษณะของบ้านเป็นเรือนแบบชั่วคราว ใช้วัสดุจากธรรมชาติ ยกพื้นสูงจากพื้นดินราว 1.0 – 1.5 เมตร เสาเรือนมีขนาดเล็กทำด้วยไม้จริง มีห้องนอน 3 -4 ห้อง แยกห้องนอนชาย – หญิง สามี – ภรรยา จะนอนแยกกันคนละห้อง แต่จะมีประตูเปิดเชื่อมติดต่อกันได้หลังคาบ้านมุงด้วยใบหวาย ใบก้อหรือนำไม้เฮียะ (ไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง) มาสับเป็นฟากมุงหลังคา ฝาและพื้นบ้านทำด้วยฟาก ตัวเรือนมีประตูเข้า 1 ประตู ครัวไฟอยู่ในเรือนจะเก็บสิ่งของเครื่องใข้ไว้ใ...

บิด

บิด บิด เป็นชนเผ่าในตระกูลภาษามอญเขมร จัดอยู่ในกลุ่มลาวเทิง มีประชากรเพียงเล็กน้อยอาศัยอยู่ที่บ้านบุ่มเพียงและบ้านห้วยหกในเขตเมือง หลวงน้ำทา สาธารณรัฐประชาธิปไตยฆประชาชนลาว ชนเผ่าบิดมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่เขตน้ำอูในแขวงพงสาลี ต่อมาได้พยพหนีศึกสงครามไทแดงเข้ามาอยู่หลวงน้าทาได้ ๑๐๐ ปีเศษมาแล้ว ดำรงชีพอยู่ด้วยการถางป่าทำไร่อยู่ตามเชิงเขา นับถือผี มีจารีตประเพณีแตกต่างไปจากชนเผ่าอื่นดังนี้ ประเพณีการเกิด นับตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนถึงใกล้คลอด หญิงเผ่าบิดยังคงทำงานในไร่สวนตามปกติจนกระทั่งตั้งครรภ์ได้ ๘ เดือนจะทำพิธีสงเคราะห์ โดยฆ่าหมู ๑ ตัว ประกอบพิธีกรรมเพื่อให้คลอดง่ายเมื่อ ถึงกำหนดคลอด ถ้าหากคลอดยากจะต้องประกอบพิธีส่งสะตวง ( กระทง ) ใช้ไข่ไก่ ๑ ฟอง เลี้ยงส่งผีพรายเมื่อคลอดแล้วตัดสายรกยาว ๒ ข้อมือ แล้วนำรกไปฝัง หรือแขวนไว้เหนือคบไม้ใหญ่ ส่วนแม่ดื่มน้ำร้อนผสมยาสมุนไพรพื้นบ้านและอยู่ไฟจนครบ ๑ เดือน แม่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จนกระเด็กเดินได้ จึงอย่านม วัยหนุ่มสาว การ ศึกษาอบรมลูกจนกระทั่งถึงวัยหนุ่มสาว พ่อจะสั่งสอนอบรมให้ลูกๆ รู้จักการทำงานทุกอย่างจะสอนลูกสาวให้รู้จักการตักน้ำ ตำข้าว ปั่นฝ่าย ทอผ้...

ลานแตน

ลานแตน ลานแตน เป็นชื่อกลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลจีน - ทิเบตเช่นเดียวกับเผ่าเย้า รู้จักใช้อักษรจีนโบราณเป็นภาษาเขียนเพื่อบันทึกเรื่องราวของตระกูล และใช้ในพิธีกรรมทางความเชื่อคำว่า ลานแตน แปลว่าสีคราม ซึ่งเป็นสีที่นิยมใช้ย้อมผ้าตามปกติจะทอผ้า ตัดเย็บเสื้อผ้า และย้อมสีเครื่องนุ่งห่มเองโดยใช้สีจากธรรมชาติ เช่น ครามหรือต้นห้อม เผ่าลานแตนมีฝีมือในการทำเครื่องประดับด้วยเงิน เช่น ต่างหู กำไล ปลอกคอ และยังมีความสามารถในการทำกระดาษจากเยื่อสาและไม้ไผ่อ่อน ประวัติความเป็นมา เผ่าลานแตนมีถิ่นฐานดั้ง เดิมอยู่ทางตอนใต้ของจีนแถบมณฑลกวางสี ไฮนาน กวางตุ้ง และมณฑลใกล้เคียง ต่อมาได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนาม และภาคเหนือของลาวในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เนื่องจากเกิดกบฎฮ่อ อีกส่วนหนึ่งได้อพยพเข้ามาเพิ่มเติมในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมในช่วงทศวรรษ 1960 ส่วนใหญ่จะอพยพเข้ามาอยู่ในแขวงหลวงน้ำทา จำนวน 17 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านน้ำลือ น้ำหลี น้ำจาง น้ำกอย น้ำตุ๊ด หาดตาด ตาลาน น้ำก๋อน ตาหวาน น้ำแดง นมแกใหญ่ นมแกน้อย โองเลย หาดยาว เปนห้อ น้ำดี และบ้านสุนยา เขตเมืองสิงมี 3 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านป่าคา น้ำม้า และ...

ลาว

  ลาว คำ ว่า ลาว ปรากฏอยู่ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่และตำนานอื่นที่เกี่ยวข้องในฐานะเป็นคำ นำหน้าชื่อบุคคลเพื่อแสดงว่าบุคคลผู้นั้นมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าของชุมชน เทียบเท่ากับตำแหน่งกษัตริย์ของคนในกลุ่มนั้น บุคคลแรกที่ใช้คำนำหน้านามดังกล่าวก็คือ ลวจังกราช ซึ่งในการกำเนิดบุคคล ดังกล่าวนั้นตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ได้ระบุว่าเป็น “...เทวบุตรตนหนึ่งชื่อลวจังกรเทวบุตร...” ซึ่งพระอินทร์ได้อาราธนาว่า “ ...ท่านจุ่งลงไพเกิดในมนุสสโลกเมืองตนที่เมืองเชียงลาวที่นั้น แล้วกระทำราชภาวะเปนท้าวพระญามหากระสัตร เปนเจ้าเปนใหย่แก่ท้าวพระญาทังหลายในเมืองล้านนาไท แลรักษายังวรพุทธสาสนาเทิอะ ว่าฉะนั้น... ” เทวบุตรดังกล่าวถือ กำเนิดด้วยโอปปาติกปฏิสนธิ คือเกิดมาเป็นคนวัยหนุ่มในทันที มีชื่อว่า “ลวจังกรเอกราชะ” ในปีจุลศักราชที่ ๑ คือ พ.ศ. ๑๑๘๑ เมื่อได้รับการอภิเษกเป็นกษัตริย์แล้วก็ได้ปกครองบ้านเมืองมีลูกหลานปกครอง เมืองสืบต่อมา ในตำนานฉบับเดียวกันนี้ได้กล่าวว่า “...พระยาลาวจงคือ ลวจังกราชะ” ซึ่งแสดงว่า ลวจังกราชะหรือลวจังกรเอกราชะ มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “ลาวจง” ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ในราชวงษ์ลาว ซึ่งครองเมืองเชียงลาวหรือ...