บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มิถุนายน, 2024

ลวะ

ลวะ   ลวะ ซึ่งนักวิชาการระยะหลังมักเขียนและออกเสียงว่า “ ลัวะ ” เป็นชาวพื้นเมืองที่มีอยู่ทั่วไปในภาคเหนือและกระจายไปถึงเมืองเชียงตุงและ เมืองยอง ในเขตเชียงใหม่-ลำพูน ศูนย์กลางของลวะอยู่ที่เชิงดอยสุเทพ เพราะหอผีปู่แสะย่าแสะ ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษของชาวลวะอยู่ที่เชิงดอยสุเทพ และเชื่อกันว่า ฤาษีวาสุเทพเป็นลูกหลานของปู่แสะย่าแสะ เช่นเดียวกับขุนหลวงวิลังคะหรือวิรังคะ ซึ่งเป็นหัวหน้าชาวลวะยุคสุดท้ายก็เป็นลูกหลานปู่แสะย่าแสะ ตำนานเจ้าสุวรรณคำแดงกล่าวถึงถิ่นที่อยู่ของลวะอยู่ในบริเวณเชิงดอยสุเทพและ เรียงรายลงมาที่ราบริมน้ำปิง ตำนานในล้านนามีทัศนะต่อ ลวะแบ่งได้เป็น ๓ กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นตำนานพระธาตุในล้านนา ซึ่งมักกล่าวถึงลวะในความหมายที่เป็นคนที่อยู่ในภาคเหนือมาก่อน ภาพของลวะจึงเกิดขึ้นในยุคแรกเริ่ม ซึ่งมีความเก่าแก่กว่าชนกลุ่มอื่น ตำนานมักอ้างถึงพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งยังมีพระชนม์ชีพอยู่ได้เสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาและพบกับลวะผู้ หนึ่งถวายอาหารดังเช่น ตำนานพระธาตุลำปางหลวงกล่าวถึงลวะอ้ายกอนถวายน้ำผึ้ง และตำนานพระธาตุช่อแฮกล่าวถึงขุนลวะอ้ายค้อมถวายหมาก เป็นต้น ตำนานกลุ่มที่สอง เป็นตำนานเก่าแก่ล้าน...

ละว้า

ละว้า ละว้า เป็นชื่อที่คนทั่วไปใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกตนเองว่า “ ละเวือะ ” และชาวล้านนาถือว่า “ ลวะไ และ “ ละว้า ” เป็นชนกลุ่มเดียวกัน ประกอบกับการที่ชาวละว้าอ้างถึงประวัติความเป็นมาของตน โดยใช้ ตำนานสุวัณณะคำแดง และพิธีกรรมในล้านนาเป็นเครื่องสนับสนุนนั้น ในเอกสารหรือที่ปรากฏในพิธีกรรมก็กล่าวว่า “ ลวะ ” ซึ่งนักวิชาการยุคหลัง มักเรียกเป็น “ ลัวะ ” แต่เนื่องจากมีผู้ศึกษาเรื่อง ละว้าไว้อย่างดีมีระบบ ในที่นี้จึงใคร่จะเสนอเรื่อง ละว้า ไว้เพิ่มเติมจากเรื่องลวะ และเมื่อพิจาณาทางด้านภาษาแล้ว พวกละเวือะจัดอยู่ในกลุ่มภาษามอญ-เขมร สาขาย่อยปะหล่อง-ว้า ได้พบว่ามีผู้พูดภาษาละว้านี้อยู่ในสองจังหวัด คือเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน ชาวละว้าเล่าวว่าชนเผ่า ของตนเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองเดิมที่ตั้งเป็นรัฐก่อนการเกิดของอาณาจักรล้านนา โดยกล่าวว่าความในตำนานสุวัณณะคำแดง และตำนานเชียงใหม่ปางเดิม ระบุ “ ละว้า ” หรือ “ ลวะ ” ตั้งอยู่ที่เชิงดอยสุเทพก่อนการตั้งเมืองเชียงใหม่ และกล่าวว่าประวัติศาสตร์ของละว้าสิ้นสุดในราว พ.ศ.๑๒๐๐ ที่ขุนหลวงวิลังคะพ่ายแพ้ต่อนางจามเทวี และปรากฎในตำนานของภาคเหนืออีกหลายฉบับที่ให้ข้อมูลแล...

ชนเผ่าลัวะ (Lua)

ชนเผ่าลัวะ (Lua)     เขตที่อยู่อาศัยอย่างหนาแน่นของชาวลัวะ ได้แก่ บริเวณที่ราบสูงบ้านบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประชากรลัวะในประเทศไทยมีประมาณ ๒๒,๒๖๐ คน หรือร้อยละ ๒.๔๑ ของประชากรชาวเขาในประเทศไทยปี (พ.ศ. ๒๕๔๕) การตั้งถิ่นฐาน หมู่บ้านลัวะปัจจุบันส่วนมากยังอยู่ในเขตภูเขา หมู่บ้านประกอบด้วยครัวเรือนประมาณ ๒๐-๑๐๐ หลังคาเรือน โดยสร้างบ้านเรียงรายอยู่ตามแนว สันเขา ลักษณะบ้านนกพื้นสูงคล้ายบ้านกะเหรี่ยง แต่ลักษณะหลังคาจะมีกาแลเป็นสลักไขว้กันสองอันเป็นหน้าจั่ว หลังคาซึ่งมุงด้วยหญ้าคาหรือตองตึง จะสูงชันคลุมลงเกือบจรดพื้นดินรอบๆหมู่บ้านจะเป็นพื้นที่สำหรับเพาะปลูก และระหว่างพื้นที่ทำไร่กับ หมู่บ้านจะมีแนวป่าที่เป็นป่าแก่ ( Virgin Forest) สงวนไว้สำหรับเป็นแนวกันไฟเวลาเผาไร่ของหมู่บ้าน ลักษณะทางสังคม ลัวะมีระบบการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว โดยฝ่ายหญิงจะเข้าไปอยู่บ้านฝ่ายชายหรือบ้านที่ฝ่ายชายปลูกใหม่โดยถือ บรรพบุรุษฝ่ายพ่อ บุตรที่เกิดมาอยู่ในสายเครือญาติของฝ่ายพ่อ ในครัวเรือนหนึ่งๆ โดยทั่วไปประกอบด้วยสามี ภรรยา บุตร บุตรชาย คนโตต้องไปสร้างบ้านใหม่หลังแต่งงาน บุตรชายคนสุดท้ายจะเป็นผู...

สามต้าว

สามต้าว สามต้าว ซึ่งควรเขียนตามระบบปริวรรตว่า “ สามท้าว ” เป็นชนเผ่าหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทูมก หรือ ไทยดอย เป็น กลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลมอญ - เขมร ที่จัดอยู่ในกลุ่มลาวเทิงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นับถือพุทธศาสนาผสมกับลัทธินับถือผี มีศิลปะการขับแบบไทลื้อ จึงเรียกว่า “ สามต้าว ” เดิมชนเผ่าสามต้าวมีชื่อรียกว่า ข้าใช้เจ้าฟ้า เนื่อง จากบรรพบุรุษซึ่งเป็นผู้นำของเผ่าสามต้าว เคยเป็นข้ารับใช้เจ้าฟ้าไทยลื้อในสิบสองพันนา ต่อมาได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคเหนือ ของสาธาณณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในเขตเมืองสิง สบหลวย โบกบ่อ เมืองหลวงน้ำทา เมืองเวียงพูคา เมืองนาแล ในแขวงหลวงน้ำทา และในเขตเมืองห้วยทราบเมืองต้นผึ้งและเมืองเมิง ในแขวงบ่อแก้ว มีอาชีพหลักคือ การทำไร่ถ่างป่าอยู่ในเขตภูดอย และทำนาตามที่ราบในหุบเขาเลี้ยงสัตว์ประเภทวัว ควาย หมู เป็ด ไก่ เผ่าสามต้าวไม่มีภาษา เขียนเป็นของตนเอง นิยมให้บุตรหลานที่เป็นเด็กชายบวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 7-8 ปี ตามความเชื่อทางพุทธศาสนาที่รับจากเผ่าไทลื้อ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยบิดามารดาให้พ้นจากนรก จารีตประเพณีที่สำคัญของเผ่าสามต้าว การเกิด หญิงสาม...

ขุ่ย,แข่,ค้อ (อ่าน “ ก๊อ ” ),เมง,ยั้ง

 ขุ่ย,แข่,ค้อ (อ่าน “ ก๊อ ” ),เมง,ยั้ง ขุ่ย คำว่า ขุ่ย ในภาษาล้านนาแปลว่าลาย มิได้เป็นคำเรียกเครื่องดนตรีอย่างที่ไทยภาคกลางเรียกว่า ขลุ่ย (เพราะล้านนาเรียกเครื่องดนตรีอย่างนี้ว่าปีถิว) และในวรรณกรรมคร่าวซอเรื่องหงส์หินของเจ้าสุริยวงศ์ใช้เรียกชื่อชาวเขาเผ่า หนึ่ง ซึ่งตรงกับเผ่า มูเซอกุ้ย หรือ กุ่ย และโดยภาพรวมแล้วคำว่า ขุ่ย หรือ กุ่ย หมายถึงชาวเขาเผ่ามูเซอโดยทั่วไป แข่ แข่ เป็นคำที่ชาวเชียงรุ่ง ชาวไทใหญ่และชาวล้านนารุ่นเก่าใช้เรียกชาวจีนจากยูนนาน เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วชาวล้านนาและชนเผ่าไทอื่น ๆ ยังใช้เรียกกลุ่มชนอื่นโดยเฉพาะชนเผ่าไทยที่ได้รับอิทธิพลจากจีนจนเคลื่อน คลาจากจารีตเดิมของตนอีกด้วย ดังเช่นเรียกชาวไทเหนือซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำมาวทางตอนใต้ของ ประเทศจีนว่า ไทแข่-ไต่แข่ และชาวเขาเผาลีซอซึ่งเรียกตนเองกว่า “ ลีซอ ” ( Li-su ) นั้นล้านนาเดิมเรียกชนกลุ่มนี้ว่า แข่ลีซอ อนึ่ง ในวรรณกรรมล้านนาก็มักเรียกชาวเขาที่ไม่ได้รับอิทธิพลจีนว่า ข่า เช่น ข่ามุ หรือขมุ ค้อ (อ่าน “ ก๊อ ” ) ในวรรณกรรมล้านนา คำว่า ค้อ นอกจากจะใช้เรียกชื่อพรรณไม้ที่ชื่อทับทิม และเรียกรัตนชาติชื่อทับทิมแล้ว ยั...

สีดา

  สีดา สีดา เป็นชนเผ่าซึ่งมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่แถบยอดอูในแขวงพงสาลี ต่อมาได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตเมืองหลวงน้ำทา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ประมาณ 100 ปีเศษมาแล้ว เนื่องจากหนีภัยสงครามจากพวกฮ่อ ปัจจุบันตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสีดา ซึ่งอยู่ในหุบเขาด้านทิศตะวันออกของเมืองหลวงน้ำทา เนื่องจากเผ่าสีดาดำรงชีวิตอยู่แบบดั้งเดิมที่ค่อนข้างล้าหลังกว่าเผ่าอื่น จึงมีปัญหาด้านสุขภาพอนามัยโดยเฉพาะโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้เวลานอนไม่นิยมกางมุ้งเพราะถือว่าต้องห้าม จึงทำให้ชาวบ้านติดเชื้อไข้มาเลเลียกันทั้งหมู่บ้านประกอบกับหมู่บ้านสีดา ตั้งอยู่ในบริเวณหุบเขาที่เป็นด้านอับลมอากาศถ่ายเทไม่สะดวก ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยาชาวเวียดนามเคยเดินทางเข้าไปศึกษาและให้ทัศนะ ว่า บริเวณดังกล่าวเป็น “ หุบเขามรณะ ” ประชากรมีอัตราการตายสูง ปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 200 คนเศษ ปรากฎว่าผู้ที่มีอายุสุงสุดของหมู่บ้านมีอายุเพียง 45 ปีเท่านั้น การแต่งกาย เผ่าสีดาไม่รู้จักการทอผ้าจึงนำสิ่งของไปแลกเปลี่ยนเสื้อผ้าจากเผ่าอื่น เช่น กะหล่อม ลื้อ ลานแตน สำหรับหญิงเผ่าสีดานิยมนุ่งผ้าซิ่นของเผ่าลื้อเพราะมีลวดลายที่สวยงาม ส่วนผู...

ปะนะ

ปะนะ ปะนะ เป็น ชนเผ่าหนึ่งในกลุ่มตระกูลภาษาทิเบต - พม่า มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ต่อมาได้อพยพเข้ามาอยู่ทางภาคเหนือของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพราะถูกทางการจีนขูดรีดภาษีและศึกสงคราม ปัจจุบันตั้งถ่นฐานอยู่บ้านบ่อเปียด เมืองหลวงน้ำทา จำนวน ๔๒ ครอบครัว อีกส่วนหนึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว เผ่าปะนะมีภาษาพูดซึ่งอยู่ในตระกูลภาษาทิเบต - พม่า คล้ายกับภาษาของชนเผ่าอีก้อ แต่ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง คนรุ่นเก่าจึงใช้ตัวหนังสือของจีนในการสื่อสาร ส่วนเด็กรุ่นใหม่ใช้ภาษาลาวเนื่องจากได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียน เผ่าปะนะดำรงชีพอยู่ด้วยการถางป่าทำไร่เลื่อนลอยมาตั้งแต่ในอดีต ภายหลังจากรัฐบาล สปป . ลาว มีนโยบายให้ประชาชนยุติการถางป่า จึงหันมาทำไร่แบบหมุนเวียน ทำให้ผลผลิตข้าวลดลง บางกลุ่มจึงเปลี่ยนมาทำนาตามหุบเขาแบบลาวลุ่ม นอกจากนี้ ยังมีการเลี้ยงสัตว์แบบปล่อยตามธรรมชาติ เช่น วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ เพื่อใช้แรงงานและประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับการนับถือผี ด้านการปกครอง เดิมเผ่าปะนะปกครองใน ระบบแบ่งออกหลายตระกูลหรือ “ สิง ” แต่ปัจจุบัน เหลือเพียง ๓ สิง คือ สิงลี ส...

ม่าน

  ม่าน ม่าน หรือบางครั้งเขียนเป็น มล่าน ใน ภาษาล้านนาหมายถึงพม่า หรือสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “ สหภาพเมียนม่าร์ ” ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเนื้อที่ ๖๗๘ , ๓๐๔ ตารางกิโลเมตร พม่าสามารถรวมกันเป็นประเทศได้ในสมัย ของพระเจ้าอนุรุทธ (Anawratha) ซึ่งปกครองพม่าระหว่าง พ . ศ . ๑๕๘๗ – ๑๖๒๐ หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนอำนาจการปกครองระหว่างพม่ากับมอญ จนถึง พ . ศ . ๒๓๖๗ พม่าแพ้สงครามต่ออังกฤษและเสียแคว้นอัสสัม ยะไข่ และตะนาวศรีแก่อังกฤษเมื่อพ . ศ . ๒๓๖๘ ต่อมาได้มีสงครามกับอังกฤษอีก ๒ ครั้ง ครั้งแรกเสียเมืองพะโค และในครั้งที่สองเสียพม่าทั้งหมดให้แก่อังกฤษ เมื่อ พ . ศ . ๒๔๒๙ ใน พ . ศ . ๒๔๐๕ อังกฤษจัดให้พม่าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษเช่น กัน ต่อมาได้แยกจากอินเดียเมื่อ พ . ศ . ๒๔๘๐ และได้รับสิทธิในการปกครองตนเอง ครั้น พ . ศ . ๒๔๘๕ ได้ตกอยู่ในความครอบครองของญี่ปุ่นเป็นเวลาสามปี จน พ . ศ . ๒๔๘๘ อังกฤษได้กลับมาปกครองพม่าอีก ชนระดับผู้นำของพม่าได้เจรจาเรียกร้องเอกราช เมื่อเดือนกันยายน พ . ศ . ๒๔๘๙ จนถึงวันที่ ๔ มกราคม พ . ศ . ๒๔๙๑ ...

แกว/กาว

แกว/กาว คำว่า แกว หรือกาว ในตำนานมักจะกล่าวถึง กลุ่มชนเผ่าหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่บริเวณลุ่มแม่น้ำแม่สาย บางครั้งอาจหมายถึงชนกลุ่ม หร้อ-จีนฮ่อ ซึ่งอาศัยอยู่ปะปนกัน เช่นปรากฏชื่อบุคคลในตำนานเมืองเงินยาง ช่วงที่กล่าวถึงการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นของขุนเมือง ได้แก่ พระญาแกว หรือ พระญาบาวกวา ซึ่งแกว หรือพระญาแกวในตำนานน่าจะหมายถึงผู้นำชนเผ่าแกวที่ปกครองตนเอง มีการสืบทอดอำนาจในท้องที่ของตน เมื่อขุนเจืองซึ่งต้องการสร้างบ้านแปลงเมืองบริเวณเขจแคว้นเงินยางเชียงลาว และภูเหิด (ภูเหมือด) ทำให้ต้องมีการมำสงครามกันตลอดเวลาระหว่างผู้นำชนเผ่าแกวและผู้ปกครองแคว้น เงินยางเชียงลาว จนในที่สุดชนเผ่าแกว และฮ้อในบริเวณเทือกเขาภูเหมือดต้องอ่อนน้อมสวมมิภักดิ์ต่อแคว้นเงินยาง อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในตำนานก็ได้กล่าวถึงอิทธิพลของท้าวแกวหรือชนกลุ่ม น้อยเผ่านี้ว่า เป็นกลุ่มที่สามารถปกครองตนเองมีผู้นำระดับเมืองและมีอำนาจทางทหารเพียงพอ ที่จะปกครองบ้านเมืองของตน และทำสงครามกับเมืองอื่นๆ ที่มารุกรานตนได้ นอกจากนี้ ชนเผ่าแกวก็ยังมีการผสมผสานในทางวัฒนธรรมกับชนเผ่าพื้นเมืองตอนเหนือของอิน แดนเมืองเงินยางเช่น การมีความสัมพันธ์...

ต่องสู้ ต่องสู่ หรือ ต่องซู่

 ต่องสู้ ต่องสู่ หรือ ต่องซู่ ต่องสู้ ต่องสู่ หรือ ต่องซู่ เป็น กลุ่มชนที่อยู่กระจัดกระจายในตอนเหนือของประเทศพม่า เนื่องจากชาวต่องสู้ตั้งถิ่นฐานร่วมกับชาวไทใหญ่ โดยชาวต่องสู้อยู่บนดอยและที่ราบเชิงเขา ส่วนชาวไทใหญ่อยู่บริเวณที่ราบ ดังนั้นชาวต่องสู้จึงมีความสัมพันธ์กับชาวไทใหญ่ และมีวัฒนธรรมคล้ายไทใหญ่ ชาวไทใหญ่เรียกชาวต่องสู้ว่า “ ต่องสู้ ” พม่าเรียกว่า “ ต่องตู่ ” แปลว่า “ ชาวดอย ” หรือ “ คนหลอย ” แต่ชาวต่องสู้ไม่ชอบให้เรียกคำนี้ เพราะถือว่าเป็นคำไม่สุภาพ ชาวต่องสู้เรียกเชื้อชาติของตนเองว่า “ ป่ะโอ่ ” หรือ ปะโอ แปลว่าชาวดอยเหมือนกัน เมื่อแยกคำแล้ว มีผู้สันนิษฐานที่มาของคำว่า “ ป่ะโอ ” ว่าน่าจะมาจากคำว่า “ ผะโอ่ ” แปลว่าผู้อยู่ป่า เพราะในภาษาไทยคำตี่ คำว่า “ อู่ ” แปลว่าอยู่ เมื่อชาวต่องสู้อพยพเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนล้านนา คนล้านนาเรียกตามชาวไทใหญ่ แต่สำเนียงเปลี่ยนไปว่า “ ต่องสู้ ” จากหนังสือ คนไทยในพม่า ที่ เขียนโดยบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ นักเขียนชาวล้านนา กล่าวถึงชาวต่องสู้ที่อยู่ในรัฐฉาน สหภาพพม่า ซึ่งมีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงสลับกับที่ราบว่า ชาว ต่องสู้อยู่ในเขตเมืองต่องกี...

กุ่ย

กุ่ย กุ่ย เป็นชื่อเฉพาะของชนเผ่าลาวสูงกลุ่มหนึ่งที่พูดภาษาตระกูลทิเบต-พม่า ซึ่งมีคำศัพท์และสำเนียงภาษาพูดคล้ายกับภาษามูเซอและอีก้อ เผ่ากุ่ยมีวิถีชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ล้าหลังกว่าชนเผ่าอื่น ๆ อาศัยอยู่ในเขตภูดอยที่ห่างไกลทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาวในเขตเชียงแขง ต่อมาได้หนีภัยสงครามอพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตเมืองสะโบกบ่อ สบโหลย ในราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เผ่ากุ่ยมีหลายตระกูล เช่น พอส้าง พอหน่อ พอจะใหม่ พอหวัง พอนังหล้า พอหล้าแลว เป็นต้น การตั้งบ้านเรือน ชนเผ่ากุ่ยจะเลือกตั้งบ้าน เรือนอยู่ตามไหล่เขาสูงที่มีน้ำห้วยไหลผ่าน ไม่นิยมอาศัยอยู่ในเขตที่ราบ ลักษณะของบ้านเป็นเรือนแบบชั่วคราว ใช้วัสดุจากธรรมชาติ ยกพื้นสูงจากพื้นดินราว 1.0 – 1.5 เมตร เสาเรือนมีขนาดเล็กทำด้วยไม้จริง มีห้องนอน 3 -4 ห้อง แยกห้องนอนชาย – หญิง สามี – ภรรยา จะนอนแยกกันคนละห้อง แต่จะมีประตูเปิดเชื่อมติดต่อกันได้หลังคาบ้านมุงด้วยใบหวาย ใบก้อหรือนำไม้เฮียะ (ไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง) มาสับเป็นฟากมุงหลังคา ฝาและพื้นบ้านทำด้วยฟาก ตัวเรือนมีประตูเข้า 1 ประตู ครัวไฟอยู่ในเรือนจะเก็บสิ่งของเครื่องใข้ไว้ใ...

บิด

บิด บิด เป็นชนเผ่าในตระกูลภาษามอญเขมร จัดอยู่ในกลุ่มลาวเทิง มีประชากรเพียงเล็กน้อยอาศัยอยู่ที่บ้านบุ่มเพียงและบ้านห้วยหกในเขตเมือง หลวงน้ำทา สาธารณรัฐประชาธิปไตยฆประชาชนลาว ชนเผ่าบิดมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่เขตน้ำอูในแขวงพงสาลี ต่อมาได้พยพหนีศึกสงครามไทแดงเข้ามาอยู่หลวงน้าทาได้ ๑๐๐ ปีเศษมาแล้ว ดำรงชีพอยู่ด้วยการถางป่าทำไร่อยู่ตามเชิงเขา นับถือผี มีจารีตประเพณีแตกต่างไปจากชนเผ่าอื่นดังนี้ ประเพณีการเกิด นับตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนถึงใกล้คลอด หญิงเผ่าบิดยังคงทำงานในไร่สวนตามปกติจนกระทั่งตั้งครรภ์ได้ ๘ เดือนจะทำพิธีสงเคราะห์ โดยฆ่าหมู ๑ ตัว ประกอบพิธีกรรมเพื่อให้คลอดง่ายเมื่อ ถึงกำหนดคลอด ถ้าหากคลอดยากจะต้องประกอบพิธีส่งสะตวง ( กระทง ) ใช้ไข่ไก่ ๑ ฟอง เลี้ยงส่งผีพรายเมื่อคลอดแล้วตัดสายรกยาว ๒ ข้อมือ แล้วนำรกไปฝัง หรือแขวนไว้เหนือคบไม้ใหญ่ ส่วนแม่ดื่มน้ำร้อนผสมยาสมุนไพรพื้นบ้านและอยู่ไฟจนครบ ๑ เดือน แม่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จนกระเด็กเดินได้ จึงอย่านม วัยหนุ่มสาว การ ศึกษาอบรมลูกจนกระทั่งถึงวัยหนุ่มสาว พ่อจะสั่งสอนอบรมให้ลูกๆ รู้จักการทำงานทุกอย่างจะสอนลูกสาวให้รู้จักการตักน้ำ ตำข้าว ปั่นฝ่าย ทอผ้...

ลานแตน

ลานแตน ลานแตน เป็นชื่อกลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลจีน - ทิเบตเช่นเดียวกับเผ่าเย้า รู้จักใช้อักษรจีนโบราณเป็นภาษาเขียนเพื่อบันทึกเรื่องราวของตระกูล และใช้ในพิธีกรรมทางความเชื่อคำว่า ลานแตน แปลว่าสีคราม ซึ่งเป็นสีที่นิยมใช้ย้อมผ้าตามปกติจะทอผ้า ตัดเย็บเสื้อผ้า และย้อมสีเครื่องนุ่งห่มเองโดยใช้สีจากธรรมชาติ เช่น ครามหรือต้นห้อม เผ่าลานแตนมีฝีมือในการทำเครื่องประดับด้วยเงิน เช่น ต่างหู กำไล ปลอกคอ และยังมีความสามารถในการทำกระดาษจากเยื่อสาและไม้ไผ่อ่อน ประวัติความเป็นมา เผ่าลานแตนมีถิ่นฐานดั้ง เดิมอยู่ทางตอนใต้ของจีนแถบมณฑลกวางสี ไฮนาน กวางตุ้ง และมณฑลใกล้เคียง ต่อมาได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนาม และภาคเหนือของลาวในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เนื่องจากเกิดกบฎฮ่อ อีกส่วนหนึ่งได้อพยพเข้ามาเพิ่มเติมในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมในช่วงทศวรรษ 1960 ส่วนใหญ่จะอพยพเข้ามาอยู่ในแขวงหลวงน้ำทา จำนวน 17 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านน้ำลือ น้ำหลี น้ำจาง น้ำกอย น้ำตุ๊ด หาดตาด ตาลาน น้ำก๋อน ตาหวาน น้ำแดง นมแกใหญ่ นมแกน้อย โองเลย หาดยาว เปนห้อ น้ำดี และบ้านสุนยา เขตเมืองสิงมี 3 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านป่าคา น้ำม้า และ...

ลาว

  ลาว คำ ว่า ลาว ปรากฏอยู่ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่และตำนานอื่นที่เกี่ยวข้องในฐานะเป็นคำ นำหน้าชื่อบุคคลเพื่อแสดงว่าบุคคลผู้นั้นมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าของชุมชน เทียบเท่ากับตำแหน่งกษัตริย์ของคนในกลุ่มนั้น บุคคลแรกที่ใช้คำนำหน้านามดังกล่าวก็คือ ลวจังกราช ซึ่งในการกำเนิดบุคคล ดังกล่าวนั้นตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ได้ระบุว่าเป็น “...เทวบุตรตนหนึ่งชื่อลวจังกรเทวบุตร...” ซึ่งพระอินทร์ได้อาราธนาว่า “ ...ท่านจุ่งลงไพเกิดในมนุสสโลกเมืองตนที่เมืองเชียงลาวที่นั้น แล้วกระทำราชภาวะเปนท้าวพระญามหากระสัตร เปนเจ้าเปนใหย่แก่ท้าวพระญาทังหลายในเมืองล้านนาไท แลรักษายังวรพุทธสาสนาเทิอะ ว่าฉะนั้น... ” เทวบุตรดังกล่าวถือ กำเนิดด้วยโอปปาติกปฏิสนธิ คือเกิดมาเป็นคนวัยหนุ่มในทันที มีชื่อว่า “ลวจังกรเอกราชะ” ในปีจุลศักราชที่ ๑ คือ พ.ศ. ๑๑๘๑ เมื่อได้รับการอภิเษกเป็นกษัตริย์แล้วก็ได้ปกครองบ้านเมืองมีลูกหลานปกครอง เมืองสืบต่อมา ในตำนานฉบับเดียวกันนี้ได้กล่าวว่า “...พระยาลาวจงคือ ลวจังกราชะ” ซึ่งแสดงว่า ลวจังกราชะหรือลวจังกรเอกราชะ มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “ลาวจง” ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ในราชวงษ์ลาว ซึ่งครองเมืองเชียงลาวหรือ...

ถิ่น

ถิ่น ชาวเขาเผ่าถิ่น ซึ่งแต่เดิมรู้จักกันในชื่อ “ ขมุ ” มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น ชาวดอย ข่าไฟ ข่าถิ่น ลวะไพ่ ถิ่น มาลและลวะถิ่น ส่วนคนไทยพื้นราบในจังหวัดน่านมักจะเรียกชาวเขาเผ่าถิ่นว่า “ ลวะ ” ชื่อดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดการสับสนว่า เป็นชาวเขากลุ่มเดียวกับชาวลวะที่อาศัยอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัด เชียงใหม่ จึงจัดอยู่ในตระกูลภาษาเดียวกัน  แต่ชาวเขาทั้ง ๒ กลุ่มนี้ ต่างมีภาษาที่เป็นของตนเอง นอกจากนี้ยังมีลักษณะสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การสื่อภาษาของทั้ง ๒ เผ่า ไม่สามารถกระทำกันได้ ดังนั้นชาวเขาเผ่าถิ่นและชาวเขาเผ่าลวะจึงเป็นคนละเผ่ากันและมีความแตกต่าง กัน ในการเขียนครั้งนี้จะเน้นที่ข้อมูลในจังหวัดน่าน ประวัติความเป็นมา ชาวเขาเผ่าถิ่นซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบ ภูเขา รอยต่อระหว่างจังหวัดน่านกับแขวงชัยบุรี ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวนั้น มีประวัติความเป็นมาของเผ่าที่ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากชาวถิ่นไม่มีภาษาเขียนของตนเอง จึงไม่มีการจดบันทึกประวัติความเป็นมาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งข้อสงสัยดังกล่าวแยกเป็น ๒ แนวทาง คือชาวเขาเผ่าถิ่นเป็นชนชาติดั้งเดิมซึ่งตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทย...

ฮ่อ

ฮ่อ  คำว่า ฮ่อ เป็นการเขียนแบบเลียนเสียงท้องถิ่นตามแบบของไทยภาคกลาง ซึ่งแท้จริงแล้วคนภาคเหนือจะออกเสียง ห้อ ( เสียงครึ่งตรีครึ่งโท ) และในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ เขียน หร้อ แต่เพื่อเป็นความสะดวกของคนทั่วไปและตามที่เขียนในต้นฉบับ จึงใช้ “ ฮ่อ ” ชาวฮ่อหรือคนจีนที่อยู่ ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีนซึ่งมีอาณาเขตตอนใต้ติดต่อกับรัฐฉานของพม่า แคว้นลาวอินโดจีนเหนือ และอยู่ไม่ห่างไกลจากเขตไทยตอนเหนือสุด ชาวฮ่อเรียก ตัวเองว่า “ ยูนนานเย่อ ” หรือ “ “ หานจื้อเย่น ” ชาวเหนือและชาวไทใหญ่ เรียกว่า “ ฮ่อ ” ชาวฮ่อ แบ่งออกเป็น 2 พวก คือพวกนับถือศาสนาอิสลาม เรียกว่า “ ผาสี ” ซึ่งหมายถึงคนจีนยูนนนานที่เข้ารีตทางศาสนาอิสลาม ไม่รับประทานหมู ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองอีซี กับเมืองห่วยซี ใต้นครคุรหมิงแห่งมณฑลยูนนาน ชาวฮ่อผาสีได้เดินทางนำม้าและลาบรรทุกสินค้า เป็นกองคาราวานมาขายให้แก่ชาวเหนือ เมื่อ 50-60 ปีก่อน ( นับจาก พ . ศ .2490) และบางคนมีภรรยา ปลูกสร้างบ้านเรือนเป็นหลักฐานอยู่ในเมืองเชียงรายและเชียงใหม่หลายครอบครัว ชาวฮ่ออีกพวกหนึ่งเรียก ว่า “ ผาห้า ” รับประทานหมู ไม่เข้าจารีตศาสนาอิสลาม นับถือดวงวิญญาณบรรพบุรุษท...