บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก เมษายน, 2024

งานประเพณีแห่พระแข่งเรือ

 งานประเพณีแห่พระแข่งเรือ ภาค         ภาคใต้ จังหวัด      ชุมพร ช่วงเวลา    เริ่มงานวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ (วันออกพรรษา) ของทุกปี ความสำคัญ งานประเพณีแห่พระแข่งเรือ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชุมชน และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น โดยเฉพาะการขึ้นโขนชิงธง ที่นายท้ายเรือต้องถือท้ายเรือให้ตรงเพื่อให้นายหัวเรือคว้าธงที่ทุ่นเส้น ชัย โดยการขึ้นโขนเรือ พิธีกรรม การแข่งเรือของอำเภอหลังสวนเริ่มมีครั้งแรกในสมัยพระยาจรูญราชโภคากร เป็นเจ้าเมืองหลังสวน เมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีเศษ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๕ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เป็นการลากพระชิงสายกันในแม่น้ำ โดยใช้เรือพายเป็นเรือดึงลากแย่งกัน วัด หรือหมู่บ้านใดมีเรือมากฝีพายดี ก็แย่งพระไปได้ อัญเชิญพระไปประดิษฐานไว้ในวัดที่ตนต้องการ มีงานสมโภชอย่างสนุกสนานในตอนกลางคืน รุ่งเช้าถวายสลากภัต ต่อมาสมัยหลวงปราณีประชาชน อำมาตย์เอก ได้ดัดแปลงให้มีสัญญาณในการปล่อยเรือโดยใช้เชือกผูกหางเรือคู่ที่จะแข่ง ให้เรือถูกพายไปจนตึงแล้วใช้มีดสับเชือกที่ผูกไว...

ประเพณีลอยเรือ

  ประเพณีลอยเรือ  ภาคใต้ จังหวัด  กระบี่ ช่วงเวลา ๑๓-๑๕ ค่ำ เดือน ๖ และเดือน ๑๑ ความสำคัญ ประเพณีลอยเรือเป็นประเพณีที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษดั้งเดิมของชาวอูรักลาโวย ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกระบี่และจังหวัดใกล้เคียง เมื่อถึงเวลาที่กำหนดสมาชิกในชุมชนและญาติพี่น้องที่แยกย้ายถิ่นไปทำมาหากิน ในแถบทะเล และหมู่เกาะต่าง ๆ ในทะเลอันดามันจะพากันเดินทางกลับมายังถิ่นฐาน เพื่อประกอบพิธีนี้ พิธีกรรม ในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ ช่วงเช้า ชาวเลจะเดินทางไปบริเวณที่จะทำพิธี ผู้หญิงจะทำขนม ผู้ชายจะสร้างและซ่อมแซมที่พักชั่วคราว ช่วงเย็น ทั้งหญิงและชายจะไปรวมกันที่ศาลบรรพบุรุษเพื่อนำอาหารเครื่องเซ่นไปเซ่นไหว้ บรรพบุรุษเป็นการบอกกล่าวให้มาร่วมพิธีลอยเรือ เช้าของวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ผู้ชายส่วนหนึ่งเดินทางไปตัดไม้ เพื่อนำไม้มาทำเรือผู้หญิงจะร้องรำทำเพลง ในขณะที่รอรับไม้บริเวณชายฝั่ง แล้วขบวนแห่จะแห่ไม้ไปวนรอบศาลบรรพบุรุษเพื่อนำกลับมาทำเรือ "ปลาจั๊ก" คืนวันขึ้น ๑๔ ค่ำ มีพิธีฉลองเรือโดยมีการรำรอบเรือ เพื่อถวายวิญญาณบรรพบุรุษโดยใช้ดนตรีและเพลงรำมะนาประกอบวงหนึ่งและอีกวงจะ เป็นการรำวงแบบสมัยใหม่มีดนตรีชาโดว์ประกอบการร้องร...

วันลอยกระทง

  วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณี ลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป

สอนทำกระทงแบบกลีบหัวขวาน

รูปภาพ
  สอนทำกระทงแบบกลีบหัวขวาน วิธีทำ ตัดใบตองขนาดความกว้าง 1.5 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว โดยประมาณ พับ ตามรูป จำนวน 3 กลีบ จากนั้นนำมาสวมเีัรียงกันให้มีระยะห่างพองามตามความชอบ เพื่อให้ผลงานออกมาดูสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย ควรพับแต่ละกลีบให้ได้ขนาดเท่ากันทุกจุด ใช้ด้ายสีเขียวใกล้เคียงกับใบตอง หรือสีดำมาเย็บติดกันด้วยด้นถอยหลังให้เป็นแนวตรงเสมอกันโดยตลอด พับ กลีบใบตองแล้วเย็บต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถหุ้มขอบของฐานกระทงได้โดยรอบ ตรึงกลับใบตองกับฐานของกระทงด้วยหมุด แล้วขลิบส่วนที่เลยพ้นฐานลงมาให้เรียบร้อยเสมอกับฐาน เมื่อทำเสร็จแล้วจะมีลักษณะคล้ายอ่างน้ำ จากนั้นประดับด้วยดอกไม้ตามความชอบ และปักธูปเทียนลงไป เป็นอันเสร็จ สามารถนำการพับใบตองรูปแบบนี้ไปใช้ร่วมกับการพับรูปแบบอื่นๆ ในผลงานชิ้นเดียวกันได้ตามความชอบ และความคิดดัดแปลง ส่วนตอนที่จะนำไปลอยนั้น บางคนอาจจะตัดเล็บ และผมใส่ลงไปด้วย ตามความเชื่อว่าเป็นการขจัดสิ่งร้ายๆ ให้ออกไปจากตัวเรา หรือจะใส่เหรียญลงไปด้วย เพื่อนำมาซึ่งความมั่งคั่งตามความเชื่อก็ได้นะคะ

สอนทำกระทง แบบกลีบกุหลาบ

รูปภาพ
  สอนทำกระทง แบบกลีบกุหลาบ วิธีทำกระทงใบตอง  ส่วนของตัวกระทง ใช้หยวกกล้วย หรือวัตถุที่ย่อยสลายได้ตัดให้เป็นวงโดยสูงประมาณ1-2.5 นิ้ว ส่วนขนาดแล้วแต่ความพอใจ ขั้นตอนต่อคือการนำเอาใบตองมาพับเป็นรูปทรงต่างๆ เพื่อประดิษฐ์เป็นกระทง วิธีทำ ตัดใบตองขนาดความกว้าง 1.5 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว โดยประมาณ พับ เป็นกลีบกุหลาบตามรูป จำนวน 3 กลีบ จากนั้นนำมาสวมเีัรียงกันให้มีระยะห่างพองามตามความชอบ ควรจัดให้ยอดของกลีบ และลอนของกลีบตรงเสมอเป็นแนวเดียว ซึ่งจะทำให้ผลงานออกมาดูสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย ใช้ด้ายสีเขียวใกล้เคียงกับใบตอง หรือสีดำมาเย็บติดกันด้วยด้นถอยหลังให้เป็นแนวตรงเสมอกันโดยตลอด พับกลีบใบตองแล้วเย็บต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถหุ้มขอบของฐานกระทงได้โดยรอบ ตรึงกลับใบตองกับฐานของกระทงด้วยหมุด แล้วขลิบส่วนที่เลยพ้นฐานลงมาให้เรียบร้อยเสมอกับฐาน เมื่อทำเสร็จแล้วจะมีลักษณะคล้ายกับ มงกุฏสวมศีรษะ จากนั้นประดับด้วยดอกไม้ตามความชอบ และปักธูปเทียนลงไป เป็นอันเสร็จ สามารถนำการพับใบตองรูปแบบนี้ไปใช้ร่วมกับการพับรูปแบบอื่นๆ ในผลงานชิ้นเดียวกันได้ตามความชอบ และความคิดดัดแปลง ส่วนตอนที่จะนำไปลอยนั้น บ...

สอนทำกระทงแบบกลีบผกา

รูปภาพ
  สอนทำกระทงแบบกลีบผกา วิธีทำกระทงใบตอง ส่วนของตัวกระทง ใช้หยวกกล้วย หรือวัตถุที่ย่อยสลายได้ตัดให้เป็นวงโดยสูงประมาณ1-2.5 นิ้ว ส่วนขนาดแล้วแต่ความพอใจ ขั้นตอนต่อคือการนำเอาใบตองมาพับเป็นรูปทรงต่างๆ เพื่อประดิษฐ์เป็นกระทง วิธีทำ ตัดใบตองขนาดความกว้าง 1.5 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว โดยประมาณ พับตามรูป จำนวน 3 กลีบ จากนั้นนำมาวางซ้อนให้ลดหลั่นกันไปตามภาพ ซึ่งจะนับเป็น 1 ตับ นำ ไปติดโดยรอบที่ขอบของฐานกระทง ซึ่งเป็นต้นกล้วยตัดเป็นแว่น ความหนา 1.5 - 2 นิ้ว โดยประมาณ ทั้งนี้ปริมาณของกลีบกระทงที่ใช้จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของตัวฐาน จากนั้นประดับด้วยดอกไม้ตามความชอบ และปักธูปเทียนลงไป เป็นอันเสร็จ สามารถนำการพับใบตองรูปแบบนี้ไปใช้ร่วมกับการพับรูปแบบอื่นๆ ในผลงานชิ้นเดียวกันได้ตามความชอบ และความคิดดัดแปลง ส่วนตอนที่จะนำไปลอยนั้น บางคนอาจจะตัดเล็บ และผมใส่ลงไปด้วย ตามความเชื่อว่าเป็นการขจัดสิ่งร้ายๆ ให้ออกไปจากตัวเรา หรือจะใส่เหรียญลงไปด้วย เพื่อนำมาซึ่งความมั่งคั่งตามความเชื่อก็ได้นะคะ

การแข่งขันตีกลองหลวง

 การแข่งขันตีกลองหลวง การแข่งขันตีกลองหลวง จากการสอบถามผู้รู้ถึงความเป็นมาของการแข่งขันตีกลองหลวง ท่านพระครูสังวรญาณประยุต  เจ้าอาวาสวัดบ้านโฮ่ง  อำเภอบ้านโฮ่ง  จังหวัดลำพูน  ได้เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมนั้นพระภิกษุสงฆ์จะเป็นผู้นำกลุ่มชาวบ้าน บรรทุกกลองที่มีอยู่ในวัดด้วยเกวียน  ลากไปแข่งขันประชันกับต่างหมู่บ้านในยามค่ำคืน  ถือเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นการละเล่นประเภทหนึ่ง  โดยมากจะเป็นช่วงที่ชาวบ้านว่างจากการทำไร่ไถนา  คือประมาณเดือนมีนาคม  เมษายน  พฤษภาคม  ชาวบ้านที่เป็นพวกหนุ่ม ๆ ส่วนมากก็ถือโอกาสไปเกี้ยวพาราสีหญิงสาวในหมู่บ้านอื่นไปด้วย  ไม่ได้มีการแข่งขันกันอย่างจริงจังเท่าใดนัก  หรืออาจถือโอกาสนัดท้าประลองกับหมู่บ้านอื่น ๆ ให้นำกลองมาร่วมประลองด้วย  ฝ่ายผู้ชนะก็จะฉลองชัยกันอย่างครื้นเครง กติกาการแข่งขันตีกลองหลวงแต่เดิมไม่มีกฎเกณฑ์มากมาย เพียงแต่ตีกลองให้มีเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้กลบเสียงตีของคู่ต่อสู้จึงถือเป็นผู้ชนะ การแข่งขันตีกลองหลวงนัดสำคัญประจำปีที่นักเลงกลองต่างเฝ้ารอคอย คือ การแข่งขันกลอ...

กลองหลวง

 กลองหลวง    กลองหลวง     กลองหลวง เป็นกลองหน้าเดียว มีขนาดใหญ่ และยาวมาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นกลองที่มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดของประเทศไทยก็ว่าได้ กลองหลวงเดิมนั้นเป็นที่นิยมกันในหมู่ชาว “ไทยอง” แถบบริเวณสองฝั่งลำน้ำปิงในจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณอำเภอป่าซาง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน และอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาได้รับการพัฒนาและฟื้นฟูขึ้นจนเป็นที่นิยมในเขตล้านนาปัจจุบัน     กลองหลวงบ้างเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กลองห้ามมาร อาจเนื่องจากเป็นกลองที่ใช้ตีสำหรับเวลามีงานบุญที่ยิ่งใหญ่ เช่น งานสมโภชพระธาตุ และงานปอยหลวง เป็นต้น งานเหล่านี้มักใช้กลองหลวงตี และเชื่อว่าเสียงของกลองสามารถเอาชนะมารอันหมายถึงการทะเลาะวิวาทในงานอีก ด้วย และนอกจากนี้จะมีการนิมนต์พระอุปคุตซึ่งเชื่อว่าเป็น พระเถระที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในมหาสมุทร มีฤทธิ์ในการปราบมาร เมื่อนิมนต์มาแล้ว ชาวบ้านจะแห่พระอุปคุตซึ่งใช้หินจากแม่น้ำเป็นตัวแทนมาไว้ที่หออุปคุตใน บริเวณจัดงาน เพื่อห้ามเหล่ามารมิให้เข้ามาทำลายพิธีงานบุญได้ และในการแห่มักใช้กลองหลวงด้วย กลองหลวงนี้พระครูเวฬุวันพ...

การนำกลองสะบัดชัยเข้าสู่ขบวนแห่

  การนำกลองสะบัดชัยเข้าสู่ขบวนแห่ การนำกลองสะบัดชัยเข้าสู่ขบวนแห่ บทบาท และหน้าที่เดิมของกลองสะบัดชัยอย่างหนึ่ง คือ ใช้ในมหรสพ ซึ่งเป็นมหรสพในระดับกษัตริย์หรือเจ้าเมือง (วัง) ต่อมาเป็นมหรสพในงานบุญ คือ ระดับศาสนา (วัด) แต่ยังหาหลักฐานไม่พบว่ามีการนำเอาเข้าขบวนแห่ด้วยหรือไม่ เพราะกลองสะบัดชัยหรือกลองปูชาที่อยู่ตามวัดนั้นมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก ยากแก่การเคลื่อนย้าย ภายหลังน่าจะมีผู้คิดว่าควรนำไปแห่เข้าขบวนด้วย จึงจำลองขนาดให้พอหามสองคนได้ โดยย่อขนาดให้สั้นลงประมาณ 1 ใน 3 ส่วน รูปร่างลักษณะกลองสะบัดชัย รูปร่างลักษณะแต่เดิมนั้น เท่าที่พบมีแห่งเดียว คือ กลองสะบัดชัยจำลองทำด้วยสำริด ขุดพบที่วัดเจดีย์สูง ตำบลบ้านหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ กลองสะบัดชัยดังกล่าวประกอบด้วยกลองสองหน้าขนาดเล็ก 1 ลูก  กลองสองหน้าขนาดใหญ่ 1 ลูก ฆ้องขนาดหน้ากว้างพอๆ กับกลองใหญ่อีก 1 ใบ พร้อมไม้ตีอีก 3 อัน หน้ากลองตรึงด้วยหมุดตัดเรียบมีคานหามทั้งกลองและฆ้องรวมกัน           กลองสะบัดชัยจำลองโบราณ ทำด้วยสำริด อย่างไรก็ตาม  กลองสะบัดชัยลักษณะนี้พบเพียงแห่งเดียว ส่วนที่พบโดยทั่ว...

กลองสะบัดชัยกลองสะบัดชัย

 กลองสะบัดชัยกลองสะบัดชัย   กลองสะบัดชัยกลองสะบัดชัย   เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านล้านนาอย่างหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันมักจะพบเห็นในขบวนแห่หรืองานแสดงศิลปะพื้นบ้านโดยทั่วไป ลีลาในการตีมีลักษณะโลดโผน เร้าใจ มีการใช้อวัยวะหรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ศอก เข่า ศีรษะ ประกอบในการตีด้วย ทำให้การแสดงการตีกลองสะบัดชัยเป็นที่ประทับใจของผู้ที่ได้ชม จนเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน   บทบาทของกลองสะบัดชัย อาจกล่าวได้ว่า การตีกลองสะบัดชัย เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ที่ได้นำชื่อเสียงทางด้านวัฒนธรรมพื้นบ้านสู่ล้านนา และบทบาทของกลองสะบัดชัย จึงอยู่ในฐานะการแสดงในงานวัฒนธรรมต่างๆ เช่น งานขันโตก งานพิธีต้อนรับแขกเมือง  และขบวนแห่  ฯลฯ แต่โอกาสในการใช้กลองสะบัดชัยแต่เดิม มาจนถึงปัจจุบันยังมีอีกหลายประการ ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในวรรณคดีต่างๆ มากมาย สรุปได้ดังนี้     1.  ใช้ตีบอกสัญญาณ การใช้กลองสะบัดชัยตีบอกสัญญาณนั้นมีหลายลักษณะ ดังนี้     1.1  สัญญาณโจมตีข้าศึก ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับวัดพระงาม ผูกที่ 2 กล่าวถึงสมัยพระญามังราย ตอนขุนคราม...

การนำกลองปูชาเข้าวัด

การนำกลองปูชาเข้าวัด การนำกลองปูชาเข้าวัด ชุดกลอง บูชาทั้งหมดเมื่อเสร็จพิธีการสร้าง ก็จะมีพิธีการนำเข้าสู่วัดเพื่อนำไปติดตั้งในหอกลอง พิธีนี้จะแบ่งกลุ่มคนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นผู้หามกลอง ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งเฝ้าระวังดักอยู่ที่ประตูวัด เมื่อหามกลองไปถึงประตูวัด กลุ่มที่ประตูวัดจะซักไซร้ไล่เรียงมิให้นำกลองเข้าโดยง่าย  ซึ่งมีคำเจรจาโต้ตอบว่าไว้โดยละเอียดตามตำราวัดศรีดอนไชย อำเภอสารภี แต่ในที่นี้ขอสรุปใจความโดยสังเขปดังนี้ กลุ่มประตูวัด: พวกท่านเป็นใครมาจากไหน หามอะไรมา หูตาก็ไม่มี เป็นของกาลีจัญไร จงรีบไป ไม่อย่างนั้น เราจะฆ่าฟันพวกท่านเสีย กลุ่มหามกลอง: พวกเราเป็นชาวลังกา นำเอากลองวิเศษชื่อ "นันทเภรี" มาถวายเพื่อรักษาพุทธาวาสราชครู และกษัตริย์ราชวงศ์ กลุ่มประตูวัด : ไม่จริงกระมัง อาจเป็นกลองไม่ดี ตีแล้วเกิดทุกข์ร้ายก็ได้ กลุ่มหามกลอง: กลองนี้เป็นกลองวิเศษ ตีแล้วได้ทรัพย์สินนานา ตีแล้วเทวดาก็ยินดี ตีรักษาเจดีย์พระบาท อีกรัฐราษฎร์ทั้งปวง เมื่อได้ความอย่างนั้นกลุ่มที่ประตูวัดก็กล่าวว่า " ดีๆ คันสูเจ้าว่า เปนกลองแก้ว กลองแสง กลองเงิน กลองฅำ กลองนำพระเจ้า กลองเข้าดี ตีหื้...

เทศน์มหาชาติ

  เทศน์มหาชาติ   การเทศน์มหาชาติ    เป็นที่นิยมของพุทธศาสนิกชนชาวไทยทุกภาคของประเทศ            ซึ่งถือปฎิบัติสืบด่อกันมาเป็นเวลาช้านานจนเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของสังคมชาวพุทธไทย   โดยมีความเชื่อว่า   การฟังเทศน์มหาชาติทำให้ผู้ฟังได้บุญมาก  และในขณะที่ฟังก็ได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินไปด้วย  ถ้ายิ่งพระเทศน์เสียงดี ๆ    ก็ยิ่งทำให้ฟังซาบซึ้งยิ่งขึ้น  เทศน์มหาชาติเป็นงานใหญ่  ไม่มีใครสามารถจัดให้มีขึ้นมาได้โดยลำพังวัดใดจะจัดให้มีเทศน์มหาชาติจะต้องเริ่มด้วยการระดมกำลังคน  ประชุมปรึกษาหารือแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบ  วางแผนดำเนินงานไว้แต่เนิ่น ๆ   เช่น   จัดทำความสะอาดบริเวณวัด   ประดับตกแต่งธรรมาสน์  ศาลาการเปรียญ  เตรียมหาต้นกล้วยต้นอ้อย ตลอดทั้งจัดทำธงทิวประดับประตูกำแพงวัด  เป็นต้น  จัดได้ว่าเป็นงานใหญ่ในรอบปีเลยทีเดียว  การเตรียมงานเทศน์มหาชาติ  จึงเป็นประเพณีที่สร้างสรรค์ความสมานสามัคคีของประชาชน  ทำให้ประชาชนรู้จักการ...

แห่ครัวทาน (อ่าน “ แห่คัวตาน ”)

  แห่ครัวทาน (อ่าน “ แห่คัวตาน ”) งานแห่ครัวทาน เป็นกิจกรรมเก่าแก่ของล้านนา เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของพิธีกรรมทางศาสนา คือการที่ศรัทธาชาวบ้านรวมตัวกันเป็นกลุ่มบุคคล เพื่อนำเอาเครื่องไทยทานที่จัดทำขึ้นไปถวายแก่พระสงฆ์ในงาน พอยหลวง ( อ่าน “ ปอยหลวง ” ) คืองานฉลองถาวรวัตถุในวัดนั้น เช่น งานประเพณีฉลองสมโภช โบสถ์ วิหาร กุฏิ หรือถาวรวัตถุที่สำคัญของพุทธศาสนา ถือว่าบุคคลที่ได้ร่วมการแห่ครัวทานนี้ จะได้รับอานิสงส์เป็นอันมาก ครัวทานที่นำไปแห่เข้า วัดนั้นแยกเป็นสองประเภท คือ ครัวทานบ้านและครัวทานหัววัด ครัวทานบ้าน คือครัวทานที่ชาวบ้านซึ่งเป็นศรัทธาในสังกัดของวัดที่จัดงานอยู่นั้นเป็นผู้ จัดไปถวายวัด ซึ่งครัวทานบ้านนี้มักจะประกอบด้วยวัตถุเครื่องใช้ในวัด เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ถ้วยชามหรือเสื่อ เป็นต้น ปกติชาวบ้านจะแห่ครัวทานบ้านไปถวายในวันแรก และวันที่สองจะมีงานฉลอง ส่วนครัวทานหัววัด คือครัวทานหรือองค์เครื่องไทยทานจากหัววัดหรือวัดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด กันจะมาร่วมทำบุญในวันที่สองและที่สามหรือวันสุดท้ายของงานครัวทานหัววัดนี้ อาจจัดมารอมทาน ( อ่าน “ ฮอมตาน ” ) คือมีทั้งชนิดที่มีแต่เครื่องไทยทานมากับ...

ประเพณีตานต๊อดผ้าป่า

  ประเพณีตานต๊อดผ้าป่า   คำว่า “ ตานต๊อด ” ก็คือการให้ทานทอดการทำบุญประเภทนี้ไท่ค่อยแพร่หลายเป็นการทำบุญประเภทนี้จะ ต้องพร้อมหรือรวมกันทำก็ได้ เพราะต้องมีของครบเครื่องบริโภค อุปโภค เช่น มีด พร้า ขวาน จอบ เสียม หม้อข้าว หม้อแกง ถ้วยชาม หม้อน้ำ หม้อนึ่งข้าว เสื่อสาด หมอน มุ้ง เอามาแต่งดาด้วยที่ไม่บอกใครรู้ จัดทำกันแบบเรียบ ๆ เวลาเอาไปท่านไม่ให้มีเสียงดัง ไม่มีฆ้อง กลอง ไม่บอกป่าวร้องใคร คนไหนรู้ ก็มาช่วยกัน การทำบุญเช่นี้ มักทำกันในฤดูหนาว (หน้าหนาว) ทำเวลา 5-6 ทุ่ม ไปแล้วพระจำวัดอย่างสนิท (ตุ๊เจ้าสบาย) ช่วยกันจัดดาอย่างเงียบ ๆ จะถวายท่านตนไหนก็ได้แล้วแต่เจ้าของส่วนมากจะถวายแด่พระผู้เฒ่า หรือว่ามีข่าวว่าพระองค์นี้จะสิกขา ลาเพศ ก็เป็นที่เสียดายของบรรดาศรัทธา การตานต๊อดผ้าเป็นการป้องกันการลาศึกของพระสงฆ์ องค์นั้น ๆ หรือทำกับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเคร่งครัด คนโบยราณมักจะไปทำกับพระที่มีลักษณะเช่นนี้ วิธีทำ คือจะนำเอาของที่ตานต๊อดทั้งหมดนั้นไปวางไว้หน้ากุฏิ (คนแต่ก่อนฮ้องว่า โฮง) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จุดเทียน ธูปบูชาตั้งจิตตั้งใจภาวนา เอาบุญเสร็จแล้ว จะจุดประทัดชนิดต่าง ๆ ที่มีเส...

แห่ไม้ค้ำสรี ( อ่าน “ แห่ไม้ก๊ำสะหลี ”)

 แห่ไม้ค้ำสรี ( อ่าน “ แห่ไม้ก๊ำสะหลี ”)   การแห่ไม้ค้ำสรี หรือการแห่ไม้ค้ำต้นโพธิ์ อันหมายถึงพระศรีมหาโพธิ์ เป็นพิธีกรรมที่ขยายจากการที่ปัจเจกชนนำไม้ค้ำที่ตนได้จัดทำขึ้นไปค้ำที่ต้น โพธิ์ ไม้ค้ำดังกล่าวอาจได้มาจากไม้ง่ามที่ใช้ในพิธีสืบชาตาหรือไม้ค้ำที่จัดหา ขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องในการถวายทานในเทศกาลสงกรานต์ การที่ได้นำเอาไม้ค้ำไปค้ำที่ต้นโพธิ์นี้ อาจจัดเป็นสัญลักษณ์หมายความว่าผู้นั้นมีส่วนในการค้ำชูพระพุทธศาสนา พบว่าต้นโพธิ์ที่มีไม้ค้ำมากที่สุด คือต้นโพธิ์ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง แต่ในบางท้องถิ่นแล้ว แทนที่แต่ละคนจะนำเอาไม้ค้ำไปค้ำต้นโพธิ์ตามประสงค์ของแต่ละคนนั้น เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ ก็จะนัดหมายให้ชาวบ้านร่วมกันไปหาไม้ค้ำซึ่งจะมีขนาดใหญ่แล้วตกแต่งให้งาม จากนั้นจึงทำพิธีแห่ไม้ค้ำนั้นร่วมขบวนกันเพื่อไปถวายวัดและนำไปค้ำต้นโพธิ์ ดังจะเห็นได้จากกรณีของศรัทธาชาวบ้านในอำเภอจอมทองและอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น ประชาชนในถิ่นดังกล่าว นั้นถือว่า เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์แล้ว ทุกคนควรจะทำพิธีสืบชาตาของตนเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่ตนเองได้มีชีวิตอย่าง มีความสุขผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปีและเพื่อให...

โยงครู

  โยงครู  การโยงครู โยงขัน ยื่นยงขัน หรือขึ้นขัน คือการเชิญครู อันเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับการศึกษาแบบจารีตของล้านนาอย่างหนึ่ง การเชิญครูในความหมายของล้านนา คือเป็นการเชิญสิ่งสมมติทั้งหมดที่ถือว่าเป็นครูของตนมาแต่ก่อน เพื่อให้มาเป็นสักขีพยานในการทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ อาจใช้เป็นขั้นตอนหนึ่งของการดำหัวครู และก่อนการขึ้นขันครู ในกระบวนการศึกษาแขนงต่าง ๆ ครูถือว่าเป็นสิ่งสมมติ อาจประกอบด้วยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพเจ้าทั้งหลาย เช่น พระพรหม พระวิษณุ พระนารายณ์ เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นครูด้วย นอกจากนั้นยังอาจหมายรวมถึง บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ที่เคยประสาทวิชาให้ ก็จะมีการกล่าวอัญเชิญมาพร้อมกัน บางครั้งการเชิญครูใช้เป็นตอนประกอบพิธีสำคัญ ๆ ต้องเชิญบรรดาครูผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยเติมพลังความสามารถ เช่น ครูหอก ครูดาบ หรือการศึกษาวิชาคงกระพันต่าง ๆ เป็นต้น ในทางพุทธศาสนา การทำพิธีบูชาครู เชิญครู อาจมีการต่อท้ายด้วยการสวดมงคลคาถา เช่น คาถาพุทธชัยมงคล หรือบทสวดชัยปริตร ตัวอย่างเช่น บทสวดพุทธชัยมงคลคาถา มีคำสวดเป็นภาษาบาลีดังนี้ “… พาหํ สหสสมภินิมมิตสาวุธนตํ คิริเมขลํ อุทิตโฆสเสนมารํทานาทิธมมวิธินา ซิต...

ขึ้นพระธาตุ

  ขึ้นพระธาตุ การขึ้นพระธาตุ คือการทำบุญประการหนึ่งซึ่งตรงกับการไหว้หรือนมัสการพระเจดีย์ โดยเฉพาะเจดีย์ที่ว่ามีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่นั้น ถือว่าเป็นปูชนียสถานที่ควรแก่การเคารพกราบไหว้อันเป็นกริยาบุญ ซึ่งการขึ้นพระธาตุหรือไหว้พระเจดีย์นี้ นอกจากจะเป็นการเดินทางเพื่อไปจาริกแสวงบุญแล้ว พระสงฆ์ที่ปฏิบัติหนักไปทางวิปัสสนาธุระก็นิยมเดินทางธุดงค์ไปนมัสการพระ ธาตุที่สำคัญในที่ต่างๆ ด้วย ในสมัยก่อนบางครั้งพระธาตุอาจถูกทอดทิ้งเพราะภัยสงครามหรือภัยอื่นๆ นักแสวงบุญที่เดินทางไปไหว้พระธาตุก็อาจต้องไปช่วยแผ้วถางทำความสะอาดแก่ องค์พระเจดีย์ตามโอกาสก็มีอยู่บ่อยครั้ง อนึ่ง จากความเชื่อของชาวล้านนาประการหนึ่งคือ ชุธาตุ ซึ่งถือว่าบุคคลที่เกิดมาในปีนักษัตรต่างๆ จะมีเจดีย์องค์หนึ่งเป็นที่พึ่งของตน ทุกคืนเมื่อไหว้พระสวดมนต์แล้วก็จะได้ไหว้พระธาตุซึ่งเป็นที่พึ่งของตนไป ด้วย แม้ไม่ปรากฏที่มาของความเชื่อดังกล่าว แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเจดีย์ประจำของแต่ละปีดังนี้ ปีใจ้ คือ ปีชวด ชุธาตุจอมทอง อำเภอจอมทอง เชียงใหม่ ขึ้นพระธาตุวันเพ็ญเดือน ๙ เหนือ ปีเป้า คือ ปีฉลู ชุธาตุลำปางหวง อำเภอเกาะคา ลำปาง ขึ้น...

เลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะ

 เลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะ   ผีปู่แสะย่าแสะ เดิมเป็นผีที่ดูแลรักษาเมืองเชียงใหม่ แต่ต่อมาผีปู่แสะย่าแสะและลูกหลานดูแลเฉพาะในเขตนอกเมือง ( เพราะมีผีตนอื่นดูแลในเขตเมืองอยู่แล้ว ) เรื่องของผีปู่แสะย่าแสะปรากฎในตำนานเชียงใหม่ปางเดิม และตำนายวัดดอยคำ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวกันว่า เดิมเป็นผีบรรพบุรุษของพวกลวะที่อาศัยอยู่ในบริเวณเชิงดอยสุเทพ มีเรื่องเล่าว่าสมัยที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ถึงเชิงดอยคำได้พบยักษ์ สามตนพ่อแม่ลูก ซึ่งยังชีพด้วยเนื้อสัตว์และเนื้อมนุษย์ เมื่อยักษ์ทั้งสามเห็นพระพุทธเจ้าก็จะจับกิน แต่พระพุทธองค์ทรงแผ่เมตตาจนยักษ์ทั้งสามเกรงในพระบารมีจึงยอมแสดงความเคารพ พระพุทธเจ้าจึงทรงเทศนาและให้ยักษ์ทั้งสามรักษาศีลห้า แต่ผีปู่แสะย่าแสะไม่อาจรับศีลห้าได้ตลอดจึงขอกินเนื้อมนุษย์ปีละสองคน เมื่อพระพุทธองค์ไม่อนุญาต ก็ขอต่อรองลงมาเรื่อย ๆ จนขอกินเนื้อสัตว์ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสบอกให้ไปถามเจ้าเมืองเอาเอง แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จจากไป โดยไว้พระเกศธาตุที่ต่อมากลายเป็นพระธาตุดอยคำ ผีปู่แสะย่าแสะได้รับอนุญาติจากเจ้า เมืองให้กินควายได้ปีละครั้ง จึงได้มีประเพณีฆ่าควายเอ...

ประเพณีเลี้ยงผีปู่ย่า เดือน 9 (มิถุนายน)

 ประเพณีเลี้ยงผีปู่ย่า เดือน 9 (มิถุนายน)   สมัยบ้านเมืองยังไม่เจริญรุ่งเรือง คนโบราณมักอยู่กันเป็นขกู๋น (ตระกูลเดียวกัน) ถ้าหากว่าผู้ที่เป็นคนมาตั้งบ้านอยู่เป็นคนแรกแล้วก็มาแพร่ขยายหมู่ญาติ ตระกูลให้กว้างขวางขึ้น ถ้าหากคนนี้ล้มตายจากไปไม่ว่านานแค่ไหนหลายชั่วคนแล้วก็ตาม ท่านเหล่านี้ได้ทำประโยชน์ไว้ให้ลูกหลานที่เกิดมาภายหลังมักจะได้รับบอกเล่า สืบต่อกันมานั้นเป็นตระกูลของพวกญาติเราคือพี่น้องกันและยังมีหอที่บ้านนั้น เป็น ผี ปู่ ย่า และถือว่าผู้ตายไปแล้วยังมีวิญญาณและที่ได้ไปเกิดเป็นเทวบุตรเทวดาไปแล้วก็ มีที่เหลือหลงเป็นคนวิสัย กลายเป็นสัมภเวสี คอยรับส่วนบุญอยู่ก็มี คนโบราณยังจดจำเรื่องนี้อยู่ในจิตใจว่า ท่านเหล่านี้ยังมีบุญคุณแก่ตนมาก่อน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็จึงได้ทำที่สักการะบูชาพจึงพากันทำที่อยู่อาศัยให้ ปู่ ย่ามีเสื่อ หมอน น้ำต้น (คนโท) ขันหมาก กระโถน แจกันดอกไม้ ธูป เทียน ไว้บูชา การสร้างตูบ ผีปู่ย่านั้นนิยมสร้างกันตามที่ต้นตระกูล เรียกว่า (เรือนแก้ว) หรือเรียกว่าเก้าผี สร้างเป็นตูบใหญ่บ้างเล็กบ้าง บางตระกูลทำใหญ่โตเพราะญาติมากเวลาเลี้ยงจะมากันหลาย การทำเช่นนี้ก็เป็นจารีตประเพ...

ประเพณีทานก๋วยสลากภัต เดือน 11-12 เกี๋ยงเหนือ เดือนกันยายน-ตุลาคม

ประเพณีทานก๋วยสลากภัต เดือน 11-12 เกี๋ยงเหนือ เดือนกันยายน-ตุลาคม คนโบราณเรียกว่า ตานก๋วยสลาก หรือกินข้าวสลาก การเตรียมทำบุญตานสลากนั้นจะต้องรู้วันและเดือนออก เดือนแรม กี่ค่ำ ให้รู้ก่อน เพราะการทำบุญสลากก็นับว่าเป็นการตานประเภทหนึ่ง การตานสลากนี้นับว่าเป็นการตานสลากนี้ย่อมไม่ตรงกับภาคเหนือเราจะตานในเดือน 12 เหนือและเดือนเกี๋ยงเหนือ ส่วนภาคกลางจะตานสลากภัตนั้นถือเอาฤดูที่มีผลไม้มาก เช่น ทุเรียน มะม่วง มะปราง รางสาด อะไรเหล่านี้ออกมาก ๆ การทำบุญสลากนี้คือ เป็นประเพณีมาแต่ตั้งเดิมจะผลัดเปลี่ยนกันทำบุญไปเป็นวัด ๆ แต่ให้วัดดั้งเดิมทำก่อน เช่น วัดเชียงมั่น กินก๋วยสลากแล้ว วัดสวนดอก วัดเจดีย์หลวง และต่อกันไป และวัดเล็ก วัดน้อย นาน ๆ ก็จะกินสลากกันสักครั้งเพราะขึ้นอยู่กับศรัทธาของวัดนั้น ๆ   วิธีตามประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาแต่โบราณนั้นจัดเป็นวันดา 1 วัน วันทำบุญ 1 วัน แต่วันดาไม่ได้ไปแผ่กุศลอย่างทุกวันนี้ จะทำของใผของมัน วัดไหนมีศรัทธามากก็ทำได้มาก วัดใดมีศรัทธาน้อยก็ทำตามกำลังศรัทธา แต่มีบางแห่งจะแบ่งกันเอา เช่น เอาก๋วยน้อยกี่ก๋วยกัณฑ์ใหญ่กี่กัณฑ์ กัณฑ์ใหญ่เจ้าภาพมักจะทำเป็นบ้านมีครัวเรือ...

อาสาฬหบูชา

อาสาฬหบูชา    คำว่า อาสาฬาหะ เป็นชื่อของดาวฤกษ์กลุ่มหนึ่ง เมื่อดวงจันทร์ผ่านกลุ่มดาวอาสาฬหะ เรียกว่าพระจันทร์เสวยอาสาฬหฤกษ์ เป็นระยะที่ตรงกับวันเพ็ญเดือนแปดของไทย จึงใช้เป็นชื่อเดือนที่ ๘ ซึ่งทางล้านนาว่าตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบ ( ในกลุ่มไทลื้อว่า วันเพ็ญเดือนเก้า ) วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา คือ ๑ . วันปฐมเทศนา คือวันที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก จะกล่าวว่าพระธรรมหรือพุทธศาสนา เกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือนแปดนี้เอง ๒ . ประกาศธรรมจักร พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระธัมมจักกัปปวัตนสูตรเป็นครั้งแรก ได้ทรงแสดงอริยสัจธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ อันเป็นองค์แห่งพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๓ . เกิดปฐมอริยสาวก อริยสาวกองค์แรกบังเกิดขึ้นในโลกในวันเพ็ญเดือนแปด คือ ท่านโกฎฑัญญะ ผู้ฟังปฐมเทศนาและได้ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ๔ . เกิดพระสงฆ์ เมื่อท่านโกณฑัญญะได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาในวันเพ็ญเดือนแปด พระพุทธองค์ประทานอุปสมบทให้โดยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระโกณฑัญญะจึงเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา ๕ . เกิดพระรั...

วิสาขปูชา ( อ่าน “ วิสาขะปู๋จา ” )

 วิสาขปูชา ( อ่าน “ วิสาขะปู๋จา ” ) คำว่า วิสาปูชา หรือ วิสาขบูชา คืองานบูชาในเดือนหก ซึ่งชาวล้านนานิยม เรียก “ ปาเวณีเดือนเพง ” คือ งานประเพณีเพ็ญเดือนแปด ( เหนือ ) เป็นรูปบาลี ย่อมาจากคำว่า วิสาขาปุณณมีบูชา หรือวิสาขาปูรณมีบูชา ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤตแต่เรียกย่อ ๆ ว่า วิสาขปูชา แปลว่า การบูชาพระในวันเพ็ญเดือนหก ( วันเพ็ญเดือนแปดเหนือ ) คำว่า “ วิสาขะ หรือ ไวสาขะ ” เป็นชื่อของดาวฤกษ์กลุ่มหนึ่ง เมื่อพระจันทร์ผ่านกลุ่มดาววิสาขะนี้ เรียกว่าพระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์ คำว่า วิสาขะ เป็นชื่อเดือนที่ 6 หรือเดือนหกตามจันทรคติ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของพระพุทธศาสนาเพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพานสามสมัยกาลร่วมกัน มีเรื่องย่อเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งสามดังต่อไปนี้ ประสูติ เมื่อ 80 ปีก่อนพุทธศักราช ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งอยู่พรมแดนระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวทหะ ปัจจุบันคือ ตำบลลุมมินเต แขวงเปชาวร์ ประเทศเนปาล เจ้าชายสิทธิธัตถะประสูติใต้ต้นสาละในสวนนี้ เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือนหก ปีจอ เวลาใกล้เที่ยง ตรัสรู้ จากวันประสูตินั้นมา 35 ปีบริบูรณ์ คือ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ...

มาฆปูชา ( อ่าน “ มาคะปู๋จา ” )

 มาฆปูชา ( อ่าน “ มาคะปู๋จา ” )   มาฆปูชา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่ง ซึ่งก็ได้รวมเข้ากับวิถีชีวิตของชาวล้านนาด้วย ในวันนี้มีเหตุอันประกอบด้วยองค์ 4 คือ 1) เป็นวันที่พระจันทร์เดินมาถึงฤกษ์ชื่อมฆะอันตรงกับเดือนห้าเพงหรือวันเพ็ญ เดือนสาม 2) พระสงฆ์ 1,250 รูป ไปประชุมกันเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เวฬุวนารามโดยไม่ได้นัดหมาย 3) พระสงฆ์เหล่านั้นล้วยได้รับเอหิภิกขุอุปสัมปทา 4) พระสงฆ์ทุกรูปเป็นพระอรหันต์ สำหรับคนล้านนา นอกจากจะมีการทำบุญและเวียนเทียน ตามแบบของประเพณีชาวพุทธโดยนิยมแล้ว ยังมักถือเป็นวันขึ้นพระธาตุ คือประชาชนจะพากันไปนมัสการบูชาปูชนียสถานสำคัญต่าง ๆ เช่น พระธาตุจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ พระธาตุแช่แห้ง เมืองน่าน หรือวัดพระนอนขอนม่วง เป็นต้น

ประเพณีเข้าอินทขีล

 ประเพณีเข้าอินทขีล ประเพณีเข้าอินทขีล คือการสักการบูชาเสาหลักเมือง อินทขีลหรือเสาหลักเมืองของเชียงใหม่นี้ ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดเจดีย์หลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระญาแสนเมืองมา กษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ซึ่งครองอาณาจักรล้านนาไทย พระองค์ทรงสร้างวัดนี้ ขึ้นเมื่อ พ . ศ . ๑๙๕๕ อินทขีลนี้อยู่ในมณฑปจัตุรมุขวิหารทางด้านใต้ เสาหลักเมืองนี้ก่อด้วยอิฐถือปูน เชื่อกันว่าแต่เดิมอยู่ที่วัดสะดือเมือง ( หรือวัดอินทขีล ) ซึ่งเป็นที่ตั้งหอประชุมติโลกราชปัจจุบันครั้นต่อมาได้ย้ายอินทขีลมาอยู่ที่ วัดนี้ ภายหลังได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ อินทขีลเป็นเสาหลักเมืองคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ เป็นที่เคารพสักการะและนับถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่รวมวิญญาณของชาวเมืองและบรรพบุรุษในอดีตเป็นปูชนียสถานสำคัญของ เชียงใหม่ ในสมัยก่อน ได้มีการทำพิธีสักการบูชาอินทขีลเป็นประจำทุกปี การทำพิธีดังกล่าวนี้มักจะทำกันในปลายเดือน ๘ เหนือ ข้างแรมแก่ๆ ในวันเริ่มทำพิธีนั้นพวกชาวบ้านชาวเมืองทั้งเฒ่าแก่หนุ่ม – สาวก็จะพากันนำเอาดอกไม้ธูปเทียน น้ำขมิ้นส้มป่อยใส่พานหรือภาชนะไปทำการสระสรงสักกา...