บทความ

ลวะ

ลวะ   ลวะ ซึ่งนักวิชาการระยะหลังมักเขียนและออกเสียงว่า “ ลัวะ ” เป็นชาวพื้นเมืองที่มีอยู่ทั่วไปในภาคเหนือและกระจายไปถึงเมืองเชียงตุงและ เมืองยอง ในเขตเชียงใหม่-ลำพูน ศูนย์กลางของลวะอยู่ที่เชิงดอยสุเทพ เพราะหอผีปู่แสะย่าแสะ ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษของชาวลวะอยู่ที่เชิงดอยสุเทพ และเชื่อกันว่า ฤาษีวาสุเทพเป็นลูกหลานของปู่แสะย่าแสะ เช่นเดียวกับขุนหลวงวิลังคะหรือวิรังคะ ซึ่งเป็นหัวหน้าชาวลวะยุคสุดท้ายก็เป็นลูกหลานปู่แสะย่าแสะ ตำนานเจ้าสุวรรณคำแดงกล่าวถึงถิ่นที่อยู่ของลวะอยู่ในบริเวณเชิงดอยสุเทพและ เรียงรายลงมาที่ราบริมน้ำปิง ตำนานในล้านนามีทัศนะต่อ ลวะแบ่งได้เป็น ๓ กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นตำนานพระธาตุในล้านนา ซึ่งมักกล่าวถึงลวะในความหมายที่เป็นคนที่อยู่ในภาคเหนือมาก่อน ภาพของลวะจึงเกิดขึ้นในยุคแรกเริ่ม ซึ่งมีความเก่าแก่กว่าชนกลุ่มอื่น ตำนานมักอ้างถึงพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งยังมีพระชนม์ชีพอยู่ได้เสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาและพบกับลวะผู้ หนึ่งถวายอาหารดังเช่น ตำนานพระธาตุลำปางหลวงกล่าวถึงลวะอ้ายกอนถวายน้ำผึ้ง และตำนานพระธาตุช่อแฮกล่าวถึงขุนลวะอ้ายค้อมถวายหมาก เป็นต้น ตำนานกลุ่มที่สอง เป็นตำนานเก่าแก่ล้าน...

ละว้า

ละว้า ละว้า เป็นชื่อที่คนทั่วไปใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกตนเองว่า “ ละเวือะ ” และชาวล้านนาถือว่า “ ลวะไ และ “ ละว้า ” เป็นชนกลุ่มเดียวกัน ประกอบกับการที่ชาวละว้าอ้างถึงประวัติความเป็นมาของตน โดยใช้ ตำนานสุวัณณะคำแดง และพิธีกรรมในล้านนาเป็นเครื่องสนับสนุนนั้น ในเอกสารหรือที่ปรากฏในพิธีกรรมก็กล่าวว่า “ ลวะ ” ซึ่งนักวิชาการยุคหลัง มักเรียกเป็น “ ลัวะ ” แต่เนื่องจากมีผู้ศึกษาเรื่อง ละว้าไว้อย่างดีมีระบบ ในที่นี้จึงใคร่จะเสนอเรื่อง ละว้า ไว้เพิ่มเติมจากเรื่องลวะ และเมื่อพิจาณาทางด้านภาษาแล้ว พวกละเวือะจัดอยู่ในกลุ่มภาษามอญ-เขมร สาขาย่อยปะหล่อง-ว้า ได้พบว่ามีผู้พูดภาษาละว้านี้อยู่ในสองจังหวัด คือเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน ชาวละว้าเล่าวว่าชนเผ่า ของตนเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองเดิมที่ตั้งเป็นรัฐก่อนการเกิดของอาณาจักรล้านนา โดยกล่าวว่าความในตำนานสุวัณณะคำแดง และตำนานเชียงใหม่ปางเดิม ระบุ “ ละว้า ” หรือ “ ลวะ ” ตั้งอยู่ที่เชิงดอยสุเทพก่อนการตั้งเมืองเชียงใหม่ และกล่าวว่าประวัติศาสตร์ของละว้าสิ้นสุดในราว พ.ศ.๑๒๐๐ ที่ขุนหลวงวิลังคะพ่ายแพ้ต่อนางจามเทวี และปรากฎในตำนานของภาคเหนืออีกหลายฉบับที่ให้ข้อมูลแล...

ชนเผ่าลัวะ (Lua)

ชนเผ่าลัวะ (Lua)     เขตที่อยู่อาศัยอย่างหนาแน่นของชาวลัวะ ได้แก่ บริเวณที่ราบสูงบ้านบ่อหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ประชากรลัวะในประเทศไทยมีประมาณ ๒๒,๒๖๐ คน หรือร้อยละ ๒.๔๑ ของประชากรชาวเขาในประเทศไทยปี (พ.ศ. ๒๕๔๕) การตั้งถิ่นฐาน หมู่บ้านลัวะปัจจุบันส่วนมากยังอยู่ในเขตภูเขา หมู่บ้านประกอบด้วยครัวเรือนประมาณ ๒๐-๑๐๐ หลังคาเรือน โดยสร้างบ้านเรียงรายอยู่ตามแนว สันเขา ลักษณะบ้านนกพื้นสูงคล้ายบ้านกะเหรี่ยง แต่ลักษณะหลังคาจะมีกาแลเป็นสลักไขว้กันสองอันเป็นหน้าจั่ว หลังคาซึ่งมุงด้วยหญ้าคาหรือตองตึง จะสูงชันคลุมลงเกือบจรดพื้นดินรอบๆหมู่บ้านจะเป็นพื้นที่สำหรับเพาะปลูก และระหว่างพื้นที่ทำไร่กับ หมู่บ้านจะมีแนวป่าที่เป็นป่าแก่ ( Virgin Forest) สงวนไว้สำหรับเป็นแนวกันไฟเวลาเผาไร่ของหมู่บ้าน ลักษณะทางสังคม ลัวะมีระบบการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว โดยฝ่ายหญิงจะเข้าไปอยู่บ้านฝ่ายชายหรือบ้านที่ฝ่ายชายปลูกใหม่โดยถือ บรรพบุรุษฝ่ายพ่อ บุตรที่เกิดมาอยู่ในสายเครือญาติของฝ่ายพ่อ ในครัวเรือนหนึ่งๆ โดยทั่วไปประกอบด้วยสามี ภรรยา บุตร บุตรชาย คนโตต้องไปสร้างบ้านใหม่หลังแต่งงาน บุตรชายคนสุดท้ายจะเป็นผู...

สามต้าว

สามต้าว สามต้าว ซึ่งควรเขียนตามระบบปริวรรตว่า “ สามท้าว ” เป็นชนเผ่าหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทูมก หรือ ไทยดอย เป็น กลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลมอญ - เขมร ที่จัดอยู่ในกลุ่มลาวเทิงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นับถือพุทธศาสนาผสมกับลัทธินับถือผี มีศิลปะการขับแบบไทลื้อ จึงเรียกว่า “ สามต้าว ” เดิมชนเผ่าสามต้าวมีชื่อรียกว่า ข้าใช้เจ้าฟ้า เนื่อง จากบรรพบุรุษซึ่งเป็นผู้นำของเผ่าสามต้าว เคยเป็นข้ารับใช้เจ้าฟ้าไทยลื้อในสิบสองพันนา ต่อมาได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคเหนือ ของสาธาณณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในเขตเมืองสิง สบหลวย โบกบ่อ เมืองหลวงน้ำทา เมืองเวียงพูคา เมืองนาแล ในแขวงหลวงน้ำทา และในเขตเมืองห้วยทราบเมืองต้นผึ้งและเมืองเมิง ในแขวงบ่อแก้ว มีอาชีพหลักคือ การทำไร่ถ่างป่าอยู่ในเขตภูดอย และทำนาตามที่ราบในหุบเขาเลี้ยงสัตว์ประเภทวัว ควาย หมู เป็ด ไก่ เผ่าสามต้าวไม่มีภาษา เขียนเป็นของตนเอง นิยมให้บุตรหลานที่เป็นเด็กชายบวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 7-8 ปี ตามความเชื่อทางพุทธศาสนาที่รับจากเผ่าไทลื้อ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยบิดามารดาให้พ้นจากนรก จารีตประเพณีที่สำคัญของเผ่าสามต้าว การเกิด หญิงสาม...

ขุ่ย,แข่,ค้อ (อ่าน “ ก๊อ ” ),เมง,ยั้ง

 ขุ่ย,แข่,ค้อ (อ่าน “ ก๊อ ” ),เมง,ยั้ง ขุ่ย คำว่า ขุ่ย ในภาษาล้านนาแปลว่าลาย มิได้เป็นคำเรียกเครื่องดนตรีอย่างที่ไทยภาคกลางเรียกว่า ขลุ่ย (เพราะล้านนาเรียกเครื่องดนตรีอย่างนี้ว่าปีถิว) และในวรรณกรรมคร่าวซอเรื่องหงส์หินของเจ้าสุริยวงศ์ใช้เรียกชื่อชาวเขาเผ่า หนึ่ง ซึ่งตรงกับเผ่า มูเซอกุ้ย หรือ กุ่ย และโดยภาพรวมแล้วคำว่า ขุ่ย หรือ กุ่ย หมายถึงชาวเขาเผ่ามูเซอโดยทั่วไป แข่ แข่ เป็นคำที่ชาวเชียงรุ่ง ชาวไทใหญ่และชาวล้านนารุ่นเก่าใช้เรียกชาวจีนจากยูนนาน เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วชาวล้านนาและชนเผ่าไทอื่น ๆ ยังใช้เรียกกลุ่มชนอื่นโดยเฉพาะชนเผ่าไทยที่ได้รับอิทธิพลจากจีนจนเคลื่อน คลาจากจารีตเดิมของตนอีกด้วย ดังเช่นเรียกชาวไทเหนือซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำมาวทางตอนใต้ของ ประเทศจีนว่า ไทแข่-ไต่แข่ และชาวเขาเผาลีซอซึ่งเรียกตนเองกว่า “ ลีซอ ” ( Li-su ) นั้นล้านนาเดิมเรียกชนกลุ่มนี้ว่า แข่ลีซอ อนึ่ง ในวรรณกรรมล้านนาก็มักเรียกชาวเขาที่ไม่ได้รับอิทธิพลจีนว่า ข่า เช่น ข่ามุ หรือขมุ ค้อ (อ่าน “ ก๊อ ” ) ในวรรณกรรมล้านนา คำว่า ค้อ นอกจากจะใช้เรียกชื่อพรรณไม้ที่ชื่อทับทิม และเรียกรัตนชาติชื่อทับทิมแล้ว ยั...

สีดา

  สีดา สีดา เป็นชนเผ่าซึ่งมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่แถบยอดอูในแขวงพงสาลี ต่อมาได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตเมืองหลวงน้ำทา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ประมาณ 100 ปีเศษมาแล้ว เนื่องจากหนีภัยสงครามจากพวกฮ่อ ปัจจุบันตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสีดา ซึ่งอยู่ในหุบเขาด้านทิศตะวันออกของเมืองหลวงน้ำทา เนื่องจากเผ่าสีดาดำรงชีวิตอยู่แบบดั้งเดิมที่ค่อนข้างล้าหลังกว่าเผ่าอื่น จึงมีปัญหาด้านสุขภาพอนามัยโดยเฉพาะโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้เวลานอนไม่นิยมกางมุ้งเพราะถือว่าต้องห้าม จึงทำให้ชาวบ้านติดเชื้อไข้มาเลเลียกันทั้งหมู่บ้านประกอบกับหมู่บ้านสีดา ตั้งอยู่ในบริเวณหุบเขาที่เป็นด้านอับลมอากาศถ่ายเทไม่สะดวก ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยาชาวเวียดนามเคยเดินทางเข้าไปศึกษาและให้ทัศนะ ว่า บริเวณดังกล่าวเป็น “ หุบเขามรณะ ” ประชากรมีอัตราการตายสูง ปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 200 คนเศษ ปรากฎว่าผู้ที่มีอายุสุงสุดของหมู่บ้านมีอายุเพียง 45 ปีเท่านั้น การแต่งกาย เผ่าสีดาไม่รู้จักการทอผ้าจึงนำสิ่งของไปแลกเปลี่ยนเสื้อผ้าจากเผ่าอื่น เช่น กะหล่อม ลื้อ ลานแตน สำหรับหญิงเผ่าสีดานิยมนุ่งผ้าซิ่นของเผ่าลื้อเพราะมีลวดลายที่สวยงาม ส่วนผู...

ปะนะ

ปะนะ ปะนะ เป็น ชนเผ่าหนึ่งในกลุ่มตระกูลภาษาทิเบต - พม่า มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ต่อมาได้อพยพเข้ามาอยู่ทางภาคเหนือของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพราะถูกทางการจีนขูดรีดภาษีและศึกสงคราม ปัจจุบันตั้งถ่นฐานอยู่บ้านบ่อเปียด เมืองหลวงน้ำทา จำนวน ๔๒ ครอบครัว อีกส่วนหนึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว เผ่าปะนะมีภาษาพูดซึ่งอยู่ในตระกูลภาษาทิเบต - พม่า คล้ายกับภาษาของชนเผ่าอีก้อ แต่ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง คนรุ่นเก่าจึงใช้ตัวหนังสือของจีนในการสื่อสาร ส่วนเด็กรุ่นใหม่ใช้ภาษาลาวเนื่องจากได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียน เผ่าปะนะดำรงชีพอยู่ด้วยการถางป่าทำไร่เลื่อนลอยมาตั้งแต่ในอดีต ภายหลังจากรัฐบาล สปป . ลาว มีนโยบายให้ประชาชนยุติการถางป่า จึงหันมาทำไร่แบบหมุนเวียน ทำให้ผลผลิตข้าวลดลง บางกลุ่มจึงเปลี่ยนมาทำนาตามหุบเขาแบบลาวลุ่ม นอกจากนี้ ยังมีการเลี้ยงสัตว์แบบปล่อยตามธรรมชาติ เช่น วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ เพื่อใช้แรงงานและประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับการนับถือผี ด้านการปกครอง เดิมเผ่าปะนะปกครองใน ระบบแบ่งออกหลายตระกูลหรือ “ สิง ” แต่ปัจจุบัน เหลือเพียง ๓ สิง คือ สิงลี ส...